Wednesday, April 25, 2007

Nepal Trip | Day II

Apr 12.2007

แถวบ้านชิ้นตอนรุ่งเช้านี่ นกเยอะจริงๆ ประมาณสักตี 5 ครึ่ง จะได้ยินเสียงนกหลากหลายสายพันธุ์ แข่งกันร้องกันเจี๊ยวจ๊าวรับวันใหม่ ผสมโรงกับเสียงหมาเห่าแถวๆบ้านบ้างประปราย สงสัยยังไม่คุ้นหูเลยทำให้ต้องตื่นเช้าขนาดนี้ อีกสองสาวยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เลยเปลี่ยนบรรยากาศจากเตียงนอน ขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าที่ดาดฟ้าก่อน ท้องฟ้าเมือง Kathmandu โดยรอบยังไม่ตื่นเลย

มื้อเช้า...ที่โต๊ะอาหาร ทุกคนพร้อมหน้า ชา กาแฟ ครัวซอง ขนมปัง น้ำผลไม้ พร้อมเสริฟ ยังกับอยู่โรงแรมหรู เด็กๆกินอาหารเช้ากันเอง น่ารักเชียว วันนี้แผนของเราว่าจะไป Bhaktapur ประเดิมเป็นรายการแรกกันก่อน แต่กว่าจะออกจากบ้านได้ มีด่านสกัดว่าจะต้องเลือกสีผ้า Pashmina ให้เรียบร้อยก่อน เป็นการสั่งซื้อล่วงหน้า ให้ชิ้นเอาไปสั่งซื้อให้อีกทีจากแหล่งผลิตคุณภาพ ผ้า Pashmina นี่ซื้อสำหรับเป็นของฝากคนสำคัญที่บ้าน chart ตัวอย่างสีผ้าที่ชิ้นเอามาให้เลือก พวกเราดูแล้วดูอีก เลือกแล้วเลือกอีก เพราะสีสวยพอๆกันไปหมด ตัดสินใจยากชะมัดเลยใช้เวลากันเยอะ

10 โมงเช้า ต้องออกเดินทางกันแล้ว ถ้ามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับสีผ้าเดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี มีนา...แม่บ้านชาวเนปาลช่วยเรียก Taxi และต่อรองให้เสร็จสรรพ ล้อหมุนออกเดินทางมุ่งหน้าไปเมือง Bhaktapur เมืองเก่าที่มีพระราชวังโบราณ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. ระหว่างทางก็นั่งชมชีวิตชาวเมืองกันไป ดูเหมือนเมืองเพิ่งจะตื่นจากการหลับใหล เด็กนักเรียนเดินกันกวักไกว่ ตึกรามบ้านช่องแบบเก่าๆ ทรงโบราณ ประตูหน้าต่างเป็นไม้ ฉลุลวดลายละเอียดสวยงาม กลอนประตูเป็นทองเหลือง สวยๆทั้งน้าน ทั้งชุดส่าหรีที่ใส่ก็หลากสีสัน น่าแวะถ่ายรูปไปหมด พอออกนอกเมืองมา บ้านเริ่มปลูกห่างกัน คนเบาบางกว่าในเมือง เริ่มมีต้นไม้เยอะ นาข้าว ชีวิตคนแถวนี้ดูช้าลง

ถึงเมือง Bhaktapur พอ Taxi จอดปั๊บก็มีชายหนุ่มมาเสนอตัวเป็น guide ทันที เขาชื่อ R.N พูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว เมื่อต่อราคากัันเป็นที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย พวกเราก็ไปซื้อตั๋วเข้าชมเป็นลำดับต่อไป พระราชวัง Bhaktapur มีบริเวณกว้างขวาง ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมอาคารหลายหลัง เช่น พระราชวังที่มี 55 หน้าต่าง R.N บอกว่าที่มี 55 หน้าต่าง เพราะกษัตริย์มีสนม 55 คน อาคารที่โดดเด่นโดยรอบ จะมีหลังคารูปทรงเหมือนภูเขาซ้อนกันเป็นชั้นๆสูง 3 ชั้นและ 5 ชั้น มีอาคารหลังหนึ่ง ส่วนคันทวยแกะสลักไม้เป็น Kamasutra ดูไปก็อมยิ้มกันไป ไปกันต่อในส่วนของวัดฮินดู ในบริเวณทำพิธีเป็นเขตหวงห้ามเฉพาะ พวกเราจะเข้าไปด้านในไม่ได้ แอบดูจากข้างนอกเข้าไป ข้างในดูเหมือนจะอลังการอยู่นะ R.N แต้มทิก้าสีแดงให้ตรงหน้าผากที่หน้าประตูวัดฮืนดู พวกเราเลยกลายร่างเป็นสาวเนปาลกันไปตามๆกัน อิอิ
ใกล้ๆกันมีบ่อน้ำที่เป็นที่อาบน้ำของกษัตริย์ ส่วนของท่อน้ำแกะทองเหลืองเป็นรูปสัตว์หลายชนิด เป็นงงอยู่ว่ามาอยู่รวมกันได้ไง ไม่รู้ว่ามาจากความเชื่อหรือตำนานของเขาหรือเปล่า ในส่วนของอาคารที่มีหลังคาซ้อนกัน 5 ชั้น ด้านหน้ามีบันได สามารถปีนขึ้นไปชมวิวโดยรอบแบบมุมสูง R.N ยังพาเราเดินผ่านตรอกซอยเล็กๆ ที่มีร้านขายของ บ้านคน และไปยังลาน เครื่องปั้นดินเผา แถวนั้นมีเด็กตัวเล็กๆ ทาขอบตาสีดำ ยืนน้ำมูกยืดให้ถ่ายรูปด้วย ไปต่อยังร้านขายทังก้า เป็นรูปเขียนสีบนกระดาษ ลวดลายละเอียดยิบ เขียนสีเสร็จก็จะเอาไปเย็บติดกับผ้าไว้แขวน ราคาค่อนข้างแพงทีเดียว เลยถอยดีกว่า ต้องรีบด้วยเพราะต้องทำเวลาให้ทันกลับไป GTZ office ตอนบ่าย 2 พวกเรามีนัดกับคุณโรชาน นี่ก็เลยเวลาเที่ยงมาสักพักแล้ว เลยต้องรีบหาข้าวกลางวันใส่ท้อง กินกันแถวนั้นให้เสร็จเรื่องไป มาโบกมือ bye bye R.N ตอนบ่ายโมงกว่า มุ่งหน้าเข้าเมือง

Late ไปเล็กน้อยเมื่อเจอคุณโรชาน พวกเราเริ่มออกเดินไปตามถนนฝุ่นเยอะด้านข้าง GTZ office คุณโรชานกำลังจะพาพวกเราไปชมเมือง Patan เมืองเก่าที่อยู่ติดกับ kathmandu ที่มีแค่แม่น้ำบักมาตีกั้น จากถนนรถผ่านได้มาเดินเข้าซอยเล็กๆ สำหรับคนผ่านเท่านั้น เราเดินผ่านวัดหลายวัด ทั้งวัดพุทธและวัดฮินดู เล็กบ้างใหญ่บ้าง ผ่านชุมชนหลายๆที่ แต่ละชุมชนเขาจะที่มีพื้นที่สาธารณะใช้ร่วมกันตรงกลาง เช่น เป็นสวน สนามเด็กเล่น บ่อน้ำ มีเจดีย์ มีวัด ทุกบ้านจะรู้จักกันหมด ได้เข้าชมงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่จัดขึ้นแถวนั้น เดินต่อเรื่อยๆจนมาถึงวัดทอง เป็นวัดพุทธ ซึ่งมีเครื่องประดับตกแต่งส่วนใหญ่ทำมาจากทองเหลือง จึงเป็นสีทองไปทั้งวัด ขนาดบริเวณโดยรอบไม่ใหญ่มากนัก มีเสียงพระสวดจากด้านใน น่าจะเป็นทำนองแบบธิเบตนะ...เดาเอา และไปชม Patan Square highlight ของเมืองนี้ หน้าตาของอาคารสถาปัตยกรรม การวางผังจะคล้ายๆกับพระราชวัง Bhaktapur ผู้คนเยอะเยอะมากมายที่ square แห่งนี้ เราไม่มีเวลาพอที่จะเข้าไปชมด้านใน จึงถ่ายรูปอยู่ด้านนอก สักพักคุณโรชานชวนไปนั่งจิบน้ำชาที่ร้านอาหารแถวนั้น ซึ่งมีวิวดีสามารถมองลงมาเห็น Patan Square ได้ในอีกมุมมองหนึ่ง จริงๆแล้วเหตุที่ต้องมานั่งชมวิวที่ร้านนี้ มาจาก ตอนที่พวกเรากำลังถ่ายรูปกันอย่างเมามัน มีเจ้าหน้าที่ี่มาคุยกับคุณโรชานและขอให้พาพวกเราออกไป เนื่องจากพวกเราไม่ได้ ซื้อตั๋วเข้าชม ซึ่งคุณโรชานเขาเห็นว่าไม่คุ้มกับราคาค่าตั๋วหลายร้อยรูปี ถ้าเรามีเวลาตรงบริเวณนี้แค่แป๊บเดียว ก็เลยเป็นเหตุให้ต้องมาจิบน้ำชาชม Patan Square ในมุมนี้แทน

แยกกับคุณโรชานตอน 5 โมงเย็น เพราะเรามีนัดกับลุงเปรมที่ Diana Travel เพื่อไปรับตั๋วเครื่องบินขากลับจาก Pokhara ใช้บริการ Taxi ไป Thamel เหมือนเดิม ตอนนี้เริ่มคุ้นเคยกับถนนหนทางมากขึ้น เริ่มจับทิศทางถูก รับตั๋วเรียบร้อย มีเวลาเดินเล่นเตร็ดเตร่แถวนั้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะไปเจอชิ้นที่ร้านอาหาร Bhojan Griha ตอน 1 ทุ่ม

ใช้บริการ taxi เหมือนเดิม แต่ออกสำเนียงภาษาไม่ถูกต้อง คนขับอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก เลยเหนื่อยต้องลงไปถามทางหลายหนกว่าจะถึงร้าน เจอชิ้นและ Armin รออยู่แล้ว ร้านนี้เป็นร้านอาหารใหญ่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วไป และต้องจองที่มาล่วงหน้า ซึ่งร้านนี้มีทีเด็ดตรงมีการแสดง Nepali dance และมีนักดนตรีที่เป็น entertainer ชั้นยอด ชิ้นเรียกอีตาคนนี้ว่า 'หมีพู' บรรยากาศร้านตกแต่งแบบเนปาล นั่งกับพื้น 4 สาวได้โต๊ะนั่ง Ring size ติดกับนักดนตรี ส่วน Armin ไปร่วมวงกับโต๊ะ GTZ การแสดงทะยอยมาเป็นชุดๆ พร้อมกับเสริฟอาหารเนปาลทีละอย่าง คุณหมีพูปล่อยมุขให้ฮาได้เรื่อยๆ แถมมีส่งสายตาแอบปิ๊งสาวบิ๋มโต๊ะเราซะด้วย ขนาดมาจับเข่าคุยขอเบอร์กันเลยเชียว โชว์สุดท้ายมีการโค้งให้แขกออกไปร่วม Dance โต๊ะเราส่งสาวบิ๋มออกไป เต้นๆ กระโดดๆ หมุนไปหมุนมาอยู่จนจบเพลง เล่นเอาป้าบิ๋มของเราเหงื่อตก จบการแสดงถึงเวลาร่ำลา หมีพูมีหน้าเศร้าๆ ยืนโบกมือไหวๆให้สาวบิ๋มของเราตรงหน้าต่างชั้นบน โถ! ไปซะแล้ว ยังไม่ได้เบอร์สาวเลย!!! 55555

Tuesday, April 24, 2007

Namaste! Nepal | Day 1

Apr 6.2007
ก่อนออกเดินทางไม่กี่วัน สาวเหมียวโทรมาว่าอยากไปด้วย อุ๊ยตาย! อะไรกันจ๊ะเหมียว มาเปลี่ยนใจอยากไปกระทันหันแบบนี้ แล้วจะมีตั๋วหลงเหลืออีกหรือนี่? เอ๊า! งั้นเอาเบอร์ agency ขายตั๋วที่ข้าวสาร ไปลอง check ตั๋วดูนะ ว่าแล้วเธอก็หายไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และอีกไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีเสียงตามสายบอกกลับมาว่า "ได้ตั๋วแล้วฟู่ ได้บิน flight เดียวกันทั้งขาไปและกลับเลยด้วย!" Ok! แจ๋วเลยเหมียว งั้นวันจันทร์รีบไปทำ visa แล้ววันพุธเจอกันสุวรรณภูมินะ

Apr 11.2007
และแล้ว trip นี้ก็มีนักเดินทาง 3 คนเหิรฟ้าไปเนปาลด้วยกัน โดยสายการบินไทย "รักคุณเท่าฟ้า" เครื่องออก 10 โมงกว่าๆ ไปถึงนู่นก็บ่ายๆ เวลาที่เนปาลจะช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 1 ชม. 15 นาที ทัศนวิสัยรอบนอกไม่เป็นใจให้เห็นวิวหิมาลัยเอาซะเลย เมฆเยอะ ฟ้าเทามัวซัว เครื่องต้องแหวกม่านหมอกลงมา พอล้อแตะพื้นปั๊บ นักบินต้องกระแทกเบรกสุดตัว หักเลี้ยวโค้งสุดท้าย taxi เข้าสนามบินตรีภูวัณ ที่นี่ไม่มีงวงมารับ ต้องเดินเข้าสนามบินแบบ self service อากาศแรกสัมผัสที่เนปาล อืม! เย็นใช้ได้ทีเดียว ผ่านประทับตราขาเข้าแบบสบายๆ แวะเอาแผนที่เมือง Kathmandu ซะหน่อยก่อนออกไปเจอกองทัพ taxi ที่มาดักรอ เจอชิ้นโบกมือไหวไหวอยู่ รีบเดินตามไปสัมผัสตัวเป็นๆ ทักทายและแนะนำเพื่อนใหม่ให้ชิ้นรู้จัก ล้อหมุนออกจากสนามบิน ปากก็คุย ตาก็มองบ้านเรือน ถนนหนทาง รถราผู้คน วัวควายบนถนน ทุกอย่างมันช่างดูแปลกใหม่ เหมือนกับเราอยู่กันคนละโลก ตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นกับภาพชีวิตตรงหน้า อากาศในรถเริ่มร้อนระอุ แต่ความแปลกใหม่ในชีวิตมันมีมากกว่าที่จะสนใจกับอากาศร้อน การจราจรที่นี่สับสนวุ่นวายไม่ใช่เล่น รถติดแต่ก็ไหลไปได้เรื่อยๆ เสียงแตรจากรถคันอื่นรอบๆก็แข่งกันขับกล่อมไปตลอดทาง เมื่อข้ามสะพานเข้าเขต Patan ไม่นานนักเราก็มาถึงบ้านชิ้น บ้านใหญ่สไตล์ยุโรป มีสนามหญ้า โรงรถ มี step เยอะ ห้องหับเป็นสัดส่วน น่าอยู่มั๊กๆ พอเก็บสัมภาระเข้าที่ ก็เจอะเจอเข้ากับ 2 หนุ่มน้อย Moritz & Fabian ยังไม่คุ้นกับสาวแปลกหน้า แต่มีท่าทีว่าอยากรู้จัก ต้องอยากได้เพื่อนเล่นหน้าใหม่แน่ๆเลย ชิ้นพาทัวร์บ้าน เข้าห้องนู้นออกห้องนี้ และขึ้นไปดาดฟ้าชมวิวมุมสูง มี 2 หนุ่มน้อยออกมาโชว์ตัวตรงสนามหญ้า และมี Dance โชว์ต้อนรับสาวๆ พวกเราเลยได้ถ่ายรูปดาราตัวน้อยกันสนุก

ล้อหมุนอีกครั้ง ชิ้นขับรถพาไป GTZ office ซึ่งเป็นที่ทำงานของ Armin อยู่หน้าปากซอย ไม่ไกลจากบ้านที่พัก โหมโรงด้วยการปีนบันไดขึ้นไปชั้น 4 เจอ Armin กำลังทำงานยุ่งๆอยู่ และแนะนำคุณโรชาน พนักงาน GTZ ที่จะมาช่วยเป็น Guide จำเป็น พาเราทั้งหลายเดินเที่ยวเมือง Patan ในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่พวกเราจะไปลุยกันเองต่อที่ย่าน Thamel ชิ้นเอา sim โทรศัพท์ของเนปาลมาให้ใช้ชั่วคราว ไว้ติดต่อกันยามฉุกเฉิน

taxi เนปาลคันเล็กกระจิ๊ดเดียว ดีนะที่ทีมเราตัวเล็กๆกันทั้งนั้น เรียกให้ไปส่งที่ Kathmandu Guest House ที่ถนน Thamel จุดเริ่มต้นที่ taxi ทุกคันรู้จัก ตามคำแนะนำจาก guidebook ถึงที่สายตาก็สาดส่องมองหา Diana Travel ก่อนเลย เข้าไปสอบถามราคาตั๋วไป Pokhara โชว์รูปหน้าร้านจาก guidebook คุณวุฒิและคุณเคท เพื่อจะได้เป็น Ref ในการต่อรอง ดูเขาจะตื่นเต้นกันใหญ่ที่มีรูปร้านเขาลงหนังสือด้วย ถึงขนาดเอ่ยปากขอหนังสือกันเลย แต่เรายังต้องใช้งานอยู่ เอาไว้ใช้เสร็จก่อนนะลุงเปรม ได้ตั๋ว Tourist bus ขาไป 250 Rps/คน ตั๋วเครื่องขากลับ 56 Rps/คน-Yeti Airline ลุงเปรมบอกว่า จุ๊จุ๊!! ห้ามเอาราคานี้ไปบอกใครนะ....Ok! ค่ะลุง พรุ่งนี้เจอกันอีกที ตอนมารับตั๋วเครื่อง ขณะเราคุยเรื่องตั๋ว ก็แบ่งทีมเหมียวกับบิ๋มไปแลกเงิน ได้ราคา Rate ดีทีเดียว เสร็จธุระก็เตร็ดเตร่กันแถวนั้น มีร้านรวงให้ดู ให้ซื้อเยอะแยะมากมาย เป็นดงนักท่องเที่ยวแบกเป้เหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา แต่ใหญ่โตกว่าหลายเท่านัก เดินเดินสักพักเหมือนฝนจะเริ่มลงเม็ด ไฟดับทั้งเมือง ร้านไหนมีเครื่องปั่นไฟก็ค้าขายกันต่อเป็นปกติ เดินสักพักท้องเริ่มหิว มองหาร้านนั่งกันดีกว่า เหมียวเล็งร้านหนึ่งอยู่ชั้นบน ต้องปีนบันไดขึ้นไป เลยผ่านไปก่อนเผื่อเจอตัวเลือกอื่น คราวนี้ไปเดินดุ่มๆแถวถนนอะไรก็ไม่รู้ มืดๆมีแต่ป้ายไฟ อารมณ์เป็นที่เที่ยวกลางคืนของคุณผู้ชาย เลยตัดสินใจถอยกลับไปตั้งหลัก คราวนี้เลยได้ไปนั่งร้านที่เหมียวเล็งไว้นั่นแหล่ะ ดูเมนูแล้วเป็นร้านอาหารเนปาล ท่าทางใช้ได้ เอาแล้วหล่ะอารมณ์หิว สั่งโมโม่ทอด หน้าตาคล้ายๆเกี๊ยวซ่าของบ้านเรา มีไส้ข้างในแล้วแต่จะเลือก มีไส้ผัก ไส้ไก่ หรือไส้น้อง Buff (ควาย) และยังมีแบบนึ่งด้วย โมโม่ทอดเสริฟพร้อมน้ำจิ้ม หน้าตาดี รสชาติ ok สั่งก๋วยเตี๋ยวผัดแบบจีน (chowmien) ไว้กันเหนียวเผื่อจะกินอย่างอื่นไม่ได้ และอาหารชุดแบบอินเดีย-เนปาล มีกับหลายๆอย่างพร้อมข้าว รสชาติแปลก ไม่คุ้นลิ้นแต่กินได้หมด ท้องอิ่ม ไฟมา ถึงเวลาจ่ายเงืน เรียก Taxi กลับบ้าน ร้านค้าแถวนั้นส่วนใหญ่เริ่มปิดกันแล้ว

ที่เนปาลไม่มีเลขที่บ้าน ดังนั้นการเรียก taxi ให้ไปส่ง ต้องรู้ว่าย่านนั้นเรียกว่าอะไร แล้วค่อยบอกทางอีกที ก่อนออกมาจากบ้านชิ้นเลยต้องซักซ้อมทางเข้าบ้าน เขียนโพยกันเหนียวไว้ก่อน คืนนี้ชิ้นและครอบครัวไป Party ที่บ้านเพื่อน กลับดึก พวกเรากลับไปถึงก่อนเลยยังเข้าบ้านด้านในไม่ได้ นั่งหง่าวอยู่ด้านนอก อากาศหนาวประมาณ Savannah หนาวๆ สักพักมีไฟดับ แต่ก็แป๊ปเดียวเพราะใช้เครื่องปั่นไฟ สักพักใหญ่ชิ้นกลับมาถึง เย้! ได้เข้าบ้านแล้ว

ที่ห้องพัก...หนาวฉิบ ไม่คิดว่าอากาศจะเย็นขนาดนี้ สงสัยเพราะฝนตก ต้องอาบน้ำก่อนนอน ชิ้นบอกมีน้ำอุ่นแต่ต้องเปิดนานหน่อย เออ! ค่อยยังชั่ว แบบนี้น่าจะอาบได้ แต่ด้วยความที่พวกเราเซ่อซ่า low tech กันหมด เลยไม่รู้ว่าต้องเปิด switch ด้วย คืนนั้นเลยอาบน้ำแบบเย็นเจี๊ยบซะ หนาวสั่นสะท้านกันไปทีเดียวเชียว 5555!!!!

Monday, April 2, 2007

A Trip to Nepal (Preparing Stage)

เข้าย่างเดือนเมษา เดือนแห่งวันหยุดและการท่องเที่ยวประจำปี กำหนดการณ์ปีนี้ พุ่งเป้าหมายไปที่ เนปาล ประเทศแห่งเทือกเขาหิมาลัยและแหล่งกำเนิดพุทธศาสนา คือจริงๆอยากไปดูหิมาลัยแบบเต็มๆตา Panorama แถมด้วยชีวิตผู้คน ความเป็นอยู่ บ้านเรือน ในหุบเขา Kathmandu และเมือง Pokhara ต้นทาง super hot hit ของการ Trekking และTrip นี้ก็ไปแบบไม่โดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะมี 'สาวบิ๋ม' ตกลง (หลุมพลาง​) ไปด้วย และยังจะไปเจอ 'ชิ้น' และครอบครัวที่อยู่ที่เนปาลอีก ซึ่งต้องไปขอเกาะอาศัย บ้านคุณนายชิ้นนอนฟรีที่ Kathmandu ทริปนี้เลยไม่น่ามีเหงา
ตั้งใจว่าจะไปซัก 8 วัน และวันที่ลงตัวของนักท่องเที่ยวแบกเป้ขาจรทั้ง 2 คน ก็ออกมาเป็น 11-18 เมษา ได้วันแล้วต้องรีบจัดการจองตั๋วทันที เพราะช่วงเมษามหาสงกรานต์นี้ ผู้คนใจตรงกัน ออกเดินทางกันเยอะ ดังนั้นตั๋วเดินทางไปประเทศฮิตๆ จะหายากถึงยากมากที่สุด เที่ยวนี้จองตั๋วจาก CS And S Inter Travel เป็น agency ขายตั๋วอยู่แถวข้าวสาร ซึ่งคุณนายชิ้นให้เบอร์มา ได้ตั๋ว TG ในราคา 2 หมื่นนิดหน่อย ค่อนข้างแพงเชียวแหล่ะ แต่ก็ต้องเอาแล้ว เพราะถ้าอยากได้ถูกกว่านี้ต้องไป Royal Nepal Airline ซึ่งขึ้นชื่อมากๆเรื่องการ delay เป็นกิจวัตร ดังนั้นไปการบินไทยดีกว่า จ่ายแพงขึ้นอีกนิด แต่ชัวร์ว่าถึงที่หมายตามกำหนดแน่ๆ ถึงจะจอง TG แต่ก็ยังไม่พ้นต้องมีลุ้นกันอีกเล็กน้อย เพราะขากลับเราติด Waiting list ลุ้นรออยู่ 2-3 วันก็ได้ confirmation กลับมา รีบออกตั๋วเป็น e-ticket จองที่นั่งเสร็จสรรพในทันใด ตามโพยบอกไว้ว่า ขาไปต้องนั่งติดหน้าต่างด้านขวา เพื่อจะได้เห็นหิมาลัยตอนเครื่องจะลง ส่วนขากลับต้องนั่งด้านซ้าย แต่พอ check ที่นั่ง ปรากฏว่าพวกเรามีบุญได้ที่นั่งเห็นวิวหิมาลัย เฉพาะตอนขาไปเท่านั้น ก็ยังดีวะ ส่วนขากลับถ้าอยากเห็นวิวนัก ก็ให้ชะเง้อคอยาวข้ามแถวที่นั่งฝั่งขวา (แถว JK) ไปยังที่นั่งฝั่งซ้าย (แถว A) เอาแล้วกัน

เสร็จจากเรื่ิองตั๋วก็มาเป็นเรื่อง visa จริงๆก็ไปขอ visa on arrival ได้ แต่ขี้เกียจไปต่อคิวทำ visa ที่สนามบิน ขอเตรียมพร้อม ทำไว้ตั้งแต่ที่บ้านเราก่อนดีกว่า...อุ่นใจดี สถานฑูตเนปาล เป็นสถานฑูตเล็กๆอยู่ตรงซอยสุขุมวิท 71 ตรงข้ามห้างจัสโก้ คือถ้าไม่รู้ข้อมูลพิกัดที่ตั้งมาก่อน อาจจะหาไม่เจอเพราะเล็กจริงๆ วันนั้นไปถึงหน้าสถานฑูตตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง เห็นประตูยังปิดอยู่ ยังคิดอยู่ว่าเค้าปิดวันจันทร์หรือเปล่าหว่า? รออีกสักหน่อยก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็เสี่ยงตายข้ามถนนไปเดินเตร็ดเตร่ที่จัสโก้ แบบอิดโรย ระโหยโรยแรง หน้าตาเป็น zombie มากๆ จากการอดนอนทั้งคืนมาจากห้องตัดต่อ ยังดีได้กาแฟอัดเข้าไปช่วยระงับอาการง่วง แล้วก็นั่งรอกึ่งหลับอยู่ฝั่งจัสโก้สักพัก ใกล้ๆ 9 โมง มีคนมาเปิดประตูสถานฑูต เย้! วันนี้มาไม่เสียเที่ยวโว้ย แถมได้ sign ลงสมุด visitor ประจำวันของสถานฑูตเป็นคนแรกด้วย น่าภูมิใจสุดๆ :-) ตอนเดินเข้าไปใน office เจ้าหน้าที่เพิ่งจะเริ่มทำงานพอดี ขอใบสมัครมากรอกข้อมูลระหว่างรอคุณบิ๋ม สักพักบิ๋มมาถึงด้วยมอเตอร์ไซด์รับจ้าง จากหน้าปากซอย ไม่่น่าเชื่อว่าคุณหนูบิ๋มจะลุยได้ขนาดนี้ นับเป็นสัญญาณที่ดีก่อนเริ่มเดินทางนะเนี่ย พอกรอกข้อมูลเสร็จ ก็ยื่นพร้อม passport + รูปถ่าย 1 รูป + ค่าธรรมเนียม 1,400 บาทหรือจะจ่ายเป็น USD ก็ได้ ถ้าเป็น USD ก็จ่าย 30 เหรียญ ตอนแรกพวกเราจะจ่ายเป็น USD เพราะคำนวณแล้วว่าถูกกว่ากันเห็นๆ จากอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์ แต่พอดีว่ามีแบ็งค์ 100 เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าบอกไม่มีทอน เลยจำใจจ่ายเป็นบาทแทน เอาวะจะได้เสร็จๆไป ยื่นเอกสารเสร็จ เจ้าหน้าที่บอกให้นั่งรอรับได้เลย ดีจัง...ไม่ต้องเสียเวลากลับมารับ passport อีกรอบ ง่ายๆ ไม่มีขั้นตอนให้ยุ่งยากวุ่นวาย พูดถึง passport...ดีนะที่บิ๋มเช็คดูก่อนมาทำ visa ไม่กี่วัน เพราะเล่มเก่าหมดอายุพอดี เกือบอดไป ทริปนี้บิ๋มเลยได้ไปถอย e-passport เล่มใหม่เอี่ยมอ่อง เอามาประเดิมเปิดฉากด้วย nepal visa เป็นประเทศแรกของเล่ม

เมื่อได้ visa มาให้อุ่นใจเรียบร้อย บิ่มอาสาไปแลกเงินให้ที่หลังการบินไทย ส่วนเราขอตรงดิ่งกลับบ้านนอนเอาแรงก่อน หลังจากนี้ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือกับการศึกษาหาข้อมูลท่องเที่ยว ทั้งจากหนังสือและใน web พอได้ข้อมูลมาสักพัก แผนการเดินทางคร่าวๆ ก็ออกมาตามระยะเวลาที่จะไป 8 วัน 7 คืน โดยตั้งใจว่าจะอยู่ Kathmandu 2 วัน จากนั้นบินไป Pokhara เพื่อไป Trekking 4 วัน แล้วบินกลับมาอยู่ Kathmandu อีก 2 วันที่เหลือ ซึ่งดูแล้วน่าจะโอนะ กะเอาไว้ว่าจะไปลงรายละเอียดอีกที ตอนไปถึง nepal แล้วดีกว่า เพราะยังไงก็มีคุณนายชิ้นเป็นเจ้าถิ่นอยู่ ถามจากเจ้าถิ่นโดยตรง น่าจะได้ข้อมูลที่ดีกว่านะ ดีไม่ดีใช้ให้พาเที่ยวด้วยซะเลย อิอิ!!

Note:
Ticket Agency: CS AND S INTER TRAVEL
Address: 81 New Joe Guest House, Trok Mayom
Tel: 02.282.6638 | Contact: K. Nok