Friday, May 11, 2007

Nepal Trip | Day IV

Apr 14.2007

เริ่มต้นวันใหม่ กึ่งง่วงกึ่งตื่น ด้วยการนอนหลับตาฟังเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของนักท่องเที่ยว ที่กำลังออกเดินทางไป trek กัน ตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ห้องที่เราพักอยู่ด้านหน้าติดถนน ดังนั้นเสียงคน รถ หมาเห่า นกร้อง ไก่ขัน จึงได้ยินอย่างชัดเจน อดทนนอนฟังเสียงอยู่ได้ไม่นาน ก็อดรนทนไม่ได้ ต้องตื่นแบบจริงจังกันไปเลย อัดอาหารเช้าด้วยขนมที่ชิ้นซื้อมาให้ และผลไม้ทั้งซื้อใหม่และเก่า ต้องพยายามบริโภคกันให้มากที่สุด เท่าที่กระเพาะจะรับได้ ไม่งั้นก็ต้องแบกน้ำหนักขึ้นไปบนเขาด้วย

เดินไปที่ร้านโอม...แต่โอมไม่อยู่ อยู่แต่คุณภรรยา นั่งรอสักพักโอมมาพร้อมลูกหาบ โอมแนะนำให้รู้จักลูกหาบของเรา เขาชื่อ "ดีล" ท่าทางดูเป็นมิตร และดูเหมือนจะอายุเยอะแล้วเหมือนกัน โอมโปรยข่าวดีมาก่อน คือ เขาจะไป Ghandruk ด้วย เย้!!! แต่ก็ตามติดมาด้วยข่าวที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่คือ เขาขอราคาค่า guide เพิ่มอีก 1,000 รูปี อ้าว!!!!! งงกันไปตามๆกัน เขาบอกเหตุที่ราคาเปลี่ยน เพราะว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการจ้างลูกหาบ โดยลูกหาบจะยังอยู่นำทางและแบกของให้เราจนจบทริป แต่เขาจะอยู่กับเราแค่คืนเดียว อ้าว! เอางี้เลยนะเพ่ แต่จะทำไงได้หล่ะ เป็นหมูมาให้เขาเชือดถึงเขียงแล้วนี่ ทางเลือกเดียวที่จะไปต่อได้ นั่นก็คือจ่ายเพิ่มอีก 1,000 รูปี ซึ่งอันที่่จริงแล้วโอมเขาก็มีธุระส่วนตัวที่จะต้องขึ้นไป Ghandruk อยู่แล้ว นี่เหมือนได้ 2 เด้งคือได้เงินจากพวกเราเข้ากระเป๋า+ไปธุรกิจของเขาเองใน trip เดียว นี่แหล่ะน้านักธุรกิจแขก จังหวะมาพอดีก็รับทรัพย์กันไป เมื่อตกลงกันได้ ก็เริ่ม pack เป้และถุงนอนของทุกคนลงไปในถุงใบใหญ่ใบเดียว เพื่อให้ลูกหาบแบกของได้สะดวกขึ้น pack เสร็จ ลูกหาบของเราทดลองแบกของขึ้นหลัง ท่าทางหนักไม่ใช่เล่นแต่เขาก็แบกได้สบายมาก ทีนี้ก็นั่งรอเวลาออกเดินทาง...

เขียน post นี้ค้างไว้ตรงนี้ เว้นวรรคไปตั้งแต่ปีที่แล้วนู่น เรื่องยังไม่จบแค่นี้ มีอีกตั้งหลายเรื่องให้โม้ แต่คนเล่าเริ่มเบลอๆ ขนาดจะกลับมา log in blog ตัวเอง ยังจำ password ไม่ได้เลย ดังนั้นเรื่องต่อจากนี้ โปรดดูจากรูปการเดินทางเอาเองนะจ๊ะว่ามันส์หยดติ๋งแค่ไหน ไม่เฉพาะภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวก็มีด้วย ได้ที่นี่นะจ๊ะ >> กรุณานำหนูตัวน้อยๆ มา click <<

Wednesday, May 9, 2007

Nepal Trip | Day III

April 13.2007

เสียงนาฬิกาปลุกดัังขึ้นแต่เช้ามืดตึ๊ดตื๋อ บิ๋มลุกไปอาบน้ำก่อนเพื่อน เราตื่นตามมานั่งเก็บนู่นนั่นนี่ สักพักเหมียวเอะใจ ตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาปลุกของตัวเอง ทำไมมันไม่ดังสักกะที โอ๊ย! บิ๋มนี่มันเพิ่งจะตี 4 เองนะ เท่านั้นแหล่ะ ขำกันกลิ้ง สงสัยบิ๋มจะเบลอตั้งเวลาเมืองไทย อิอิ

กองทัพพร้อมออกเดินทางตอน 6 โมงเช้า Taxi มารออยู่แล้ว ใช้เวลาไม่นานก็ถึงท่ารถ มีรถ Tourist Bus หลากหลายหน้าตา จอดเรียงรายกันอยู่ริมถนน ไม่รู้ว่าของเราคันไหน แต่พอเดินไปถามปุ๊บ พี่เขาก็ชี้คันตรงหน้านี่เลย เฮ้ย! อะไรมันจะถูกเผงขนาดนั้น เริ่มกลัวโดนหลอก แต่ทำไงได้พี่เขาฉีกต้นขั้วไปแล้ว ยังไงก็ต้องไปกับรถคันนี้แหล่ะ พอเดินขึ้นไปสำรวจที่นั่ง พี่เขาจัดให้นั่งซะท้ายเลย ไม่เห็นจะมีหมายเลขกำกับบอกเลขที่นั่งแบบในตั๋ว เลยสงสัยว่าพี่เขาน่าจะจัดให้นั่งแบบ ตามใจพี่เขาซะมากกว่า เหมียวต่อรองว่าจะเอาที่นั่งด้านเห็นวิว เขาก็ชี้ๆที่นั่งด้านเดียวกับคนขับประมาณเบาะตรงล้อหลัง เอาวะ! ตรงนี้ก็ตรงนี้ วางสัมภาระเสร็จสรรพก็ลงไปเตร็ดเตร่ข้างล่าง ซื้อผลไม้ไว้กินระหว่างทาง นักท่องเที่ยวก็เริ่มทะยอยกันมาเรื่อยๆ สำรวจสภาพรถ...ก็ ok นะ ดูว่าน่าจะพาพวกเราขึ้นเขาไปถึง Pokhara ได้ รถคันเรา 90% เป็นชาวเนปาลี และอีก 10% ที่เหลือก็คือพวกเราและนักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่นๆ ซึ่งโดนจับมานั่งกระจุกรวมกันอยู่ท้ายรถทั้งหมด สงสัยกลัวหนีมั๊ง???

รถออกค่อนข้างตรงเวลา รถคันเรานำออกจากท่าก่อนคันอื่น ช่วงถนนออกนอกเมืองรถติดแหงกอยู่ตรงสี่แยก ไม่มีใครยอมใครแม้จะมีตำรวจคอยโบกมือไหวไหวอยู่ กว่ารถเราหลุดจากการจราจรไปได้ ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร เมื่อรถออกนอกเมืองก็มีแต่ทางขึ้นๆลงๆ โค้งลัดเลาะไปตามเขาเป็นร้อยๆพันๆโค้งเหมือนทางไปปาย แต่ถนนที่นี่แคบกว่ามาก รถสวนกันแต่ละที ห่างกันไม่กี่คืบ ความหวาดเสียวมีให้เห็นเรื่อยๆ ช่วงรถใหญ่แซงกัน ต้องขอบคุณพี่คนขับรถเราที่มีสติ ควบคุมขาตัวเองให้แตะเบรครถไว้ได้ทันการณ์ ไม่งั้นคงได้ประสานงากับพี่รถบัสอีกคันที่แซงขึ้นมา ตอนนั้นรถ 2 คันประจันหน้ากันแบบจะจะ คิดว่าจะโดนเข้าให้แล้วแหงๆ แต่ก็รอดมาได้แบบหวุดหวิดจริงๆ เฮ้อ! โล่งไปที

ระหว่างทางรถคันเรามีแวะให้พักกินอาหารเช้าและอาหารเที่ยงด้วย กลุ่มชาวต่างชาติเหมือนโดนบังคับให้นั่ง และกินอาหารที่ทางร้านจัดไว้เท่านั้น ได้กินช้า ราคาแพง แถมต้องทำเวลาให้ไว ไม่งั้นอาจโดนทิ้งให้ตกรถได้ เอ้า! เอาไงเอากัน ก็มากับพี่เขาแล้วนี่ ช่วงบ่ายๆมีรายการบันเทิงสลับฉาก มีนักดนตรีวัยรุ่นหน้าตาแนวโหดๆขึ้นรถมา กระโดดขึ้นมาจากเขาลูกไหนไม่รู้ เล่นขับกล่อมร้องเพลงพร้อมสีดนตรี ลักษณะคล้ายๆไวโอลินทรงสั้นอวบ แบบเดียวกับที่เห็นพี่หมีพูสีเล่นให้ฟังอยู่เมื่อคืน ร้องอยู่เป็นนานสองนาน ข้ามเขาไปก็หลายลูก แกก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แถมนำเสนอแบบ ring size ทุกที่นั่ง มีคนให้สตางค์อยู่พอสมควร ตอนไปก็ไม่รู้ว่าไปกระโดดลงตรงเขาลูกไหน คิดดูแล้วเด็กคนนี้เขาก็มีความพยายามดีนะ หากินสุจริต ขายเสียงเพลงแลกเงิน เสียดายที่เสียงน้องเขาไม่ใส ออกแนวแหบๆแห้ง ไม่งั้นอาจจะเป็นคู่แข่งพี่หมีพู ที่ร้านอาหารเมื่อคืนก็ได้

หลับๆตื่นๆ โขยกเขยกอยู่บนรถมาได้ 6-7 ชม. ก็มาถึงเมือง Pokhara โดยสวัสดิภาพ ที่ท่ารถบัสมี Taxi จอดเรียงรายรอท่าอยู่แล้ว ยังไม่ทันจะก้าวลง ก็มีคนกรูกันเข้ามาเสนอที่พักและTaxi ตอบไปแบบหน้าง่วงๆว่าจะไปแถว Lakeside งานนี้เลือกไปกับคนที่มาถึงก่อนเป็นคนแรก ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นคนขับ Taxi แต่ปรากฏว่า อ้าว! เป็นนายหน้าที่พักหรอกรึ นั่งติดรถไปด้วยกันแบบงงงง ระหว่างทางก็นำเสนอที่พักของเขาไป แต่เราขอไปดูที่พักที่เราอ่านมาจาก guide book ก่อน เข้าไปที่แรกโรงแรมเตียงหิน Bedrock เจอพนักงานพูดจาประหลาด เลยชิ่งออกมาดูที่พักฝั่งตรงข้ามชื่อ Dharma Inn ห้องธรรมดาสามัญ พออยู่ได้ ราคาถูกมาก ตก 300 รูปีหรือ 180 บาทไทย หรือ 60 บาทต่อคน โอ้ว! ช่างยอดเยี่ยมกระเทียมดองอะไรเช่นนี้ ตกลงใจเอาที่นี่แหล่ะ พอเอาสัมภาระเก็บเข้าที่ ก็เดินตัวปลิวออกไปเดินเที่ยวกันดีกว่า

ยังมีภารกิจที่ต้องจัดการด้วยก็คือ ต้องหาข้อมูลเรื่อง Trekking ลูกหาบ เช่าถุงนอนกับไม้เท้า ดังนั้นระหว่างเดินไปก็มองหาร้านไปด้วย เจอร้านแรกติดกับที่พัก มีของไม่พอกับที่เราต้องการ เลยเดินต่อไปร้านหน้าถนน เจอร้านขาย-ให้เช่าอุปกรณ์ Trekking แบบครบครัน ชื่อร้าน Sherapa Trekking Shop ถูกใจราคาและอัธยาศัยกับสามีภรรยาเจ้าของร้าน เลยได้ถามไถ่ข้อมูลการเดินทางไว้ด้วย เมื่อจัดการภารกิจเสร็จสรรพ ก็ออกไปเตร็ดเตร่กันต่อ เหมียวชวนไปเช่าจักรยานขี่เล่นกัน เราโอเคได้อยู่แล้ว บิ๋มก็โอเคไม่มีปัญหา เลยได้ซิ่งจักรยานออกไปโฉบเล่นรอบๆเมือง

ถนนที่เราขี่จักรยานกันไป เป็นถนนเลียบทะเลสาบ Phewa มีทางแยกเข้าไปถึงท่าเรือ ซึ่งมีคนท้องถิ่นมาเที่ยว และโดยสารเรือไปวัดฮินดูกลางน้ำ หรือบางกลุ่มก็มาเช่าเรือพายเล่นในทะเลสาบ พวกเราแค่แวะถ่ายรูปแล้วก็ไปกันต่อ คราวนี้ขี่เข้าไปในเมือง มีร้านค้า ที่พัก ร้านอาหารเยอะแยะทั้ง 2 ข้าง บรรยากาศสมเป็นเมืองท่องเที่ยว มีการจราจรติดขัดอยู่บ้าง เพราะพอดีมีงานฉลองปีใหม่ คนท้องถิ่นเลยเฮโลนั่งรถมาเที่ยวกัน บรรยากาศอารมณ์งาน Festival ของเขาจะคล้ายๆงานวัดบ้านเรา ต้องซื้อตั๋วเข้าไปในงาน พวกเราไม่ได้เข้าไปในงาน ได้แต่ยืนมองจากข้างนอกรั้ว เท่าที่เห็นมีชิงช้าสวรรค์ ไวกิ้ง ขี่ช้าง ดูคึกคักไม่เบา โดยเฉพาะไวกิ้ง เสียงกรีี๊ดของคนเล่นเรียกความสนใจได้ดีทีเดียว

2 ชั่วโมงผ่านไป ใกล้จะมืดค่ำแล้ว จัดการเอาจักรยานไปคืนและแวะไปเอาอุปกรณ์ที่เช่าไว้ เหมียวกับบิ๋มได้ซื้อกระเป๋าเป้เล็กคนละใบ หลังจากเล็งๆไว้ตั้งแต่แรก เราเองก็เพิ่งเจอว่ารองเท้าที่ใส่มาเจ๊งกะโบ๊ะซะ ต้องถอยคู่ใหม่จากร้านนี้แหล่ะ ดีนะเนี่ยที่มาเจ๊งให้เห็นซะตอนนี้ ถ้าไปเห็นตอนปีนเขาคงจบกัน ซื้อของไปคุยไป กับคุณสามีเจ้าของร้านชื่อ "โอม" ถามไถ่อีกทีถึงเรื่อง Trekking permit กับเส้นทาง Ghandruk Loop เขาบอกว่าไม่ต้องทำ permit ก็ได้ แต่เขาคงต้องพาไปเอง บิ๋มเลยหยอดถามว่าเขาคิดเท่าไหร่ เขาคำนวณเบ็ดเสร็จเป็น package ราคาหลายร้อยดอลลาร์ เอ่อ! ราคานี้คงไม่ไหวมั๊ง ไอ้เสือถอยดีกว่า

พอกลับไปที่พัก ถามไถ่ถึงข้อมูลการเดินทาง ลูกหาบและ trekking permit กลับพบเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า พรุ่งนี้เป็นวันหยุดและที่ทำ trekking permit ปิด ถ้าจะไป trek ต้องรอไปวันมะรืนนู่น เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย พอเราถามว่า ไม่ต้องมีใบ permit แล้วไปได้ไหม เขาก็ยืนยันแบบขึงขังว่า ยังไงก็ไปไม่ได้มันผิดกฎ บลา บลา บลา เอาหล่ะสิ ปวดหัวจี๊ดจี๊ดเลย ไม่คิดว่าเราจะมาตายน้ำตื้นกันขนาดนี้ เครียดโว้ย! ขอกลับห้องไปสุมหัวคิดก่อนนะ เดี๋ยวค่อยกลับมาให้คำตอบว่าจะเอายังไงต่อ คิด คิด คิด และคำตอบที่ได้ก็คือ ยังไงซะพวกเราต้องไปเดินเขาให้ได้ เพราะไอ้ trip นี้มาเพื่อดูหิมาลัยนะ จะให้รอไปเดินเขาอีกวันก็คงไม่ไหว เวลาเรามีจำกัดและวางหมากไว้หมดแล้ว หนทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ กลับไปที่ร้านของโอม เผื่อว่าเขาจะหาทางให้เราไปได้

ตอนเดินเข้าไปที่ร้านอีกรอบ โอมและภรรยาของเขาคงงงกันอยู่บ้าง เพราะพวกเราหน้าตาวิตกจริตกันมาก แบบกำลังหาที่พึ่งพิงยามยาก เมื่อเราเล่าทุกอย่างจบ เราก็ขอให้เขาช่วย dump ราคา package หลายร้อยดอลลาร์ของเขา แบบ please please ได้โปรดเถอะหลายรอบ คุยกันอยู่นานทีเดียว เขาเองก็ต้องตัดสินใจ เพราะการเดินทางจะเป็นวันพรุ่งนี้แล้ว แถมเป็นวันปีใหม่ของเขาด้วย เขาบอกว่าจะไปนอนคิดดูก่อนว่าจะไปเองหรือจะหาคนอื่นไปกับเรา ยังไงมาเจอกันอีกทีพรุ่งนี้เช้าที่ร้านเขา และราคาแบบ please please ที่คุยกันท้ายสุด ลงมาอยู่ที่ 4000 รูปีหรือ 2,400 บาท เป็นค่า guide/porter เท่านั้น แต่เราต้องจ่ายค่าใช้จ่ายอย่างอื่นกันเอาเอง เออนะ! คิดคำนวณดูก็คุ้มเหมือนกัน เพราะถ้าเราต้องทำ trekking permit 3 คน เบ็ดเสร็จก็ 6,000 รูปี ยังไม่รวมอย่างอื่น ok, good deal นะเนี่ย ไชโย! ในที่สุดพวกเราก็ได้พบทางสว่างแล้ว

เหมือนยกภูเขาออกจากอก อุปสรรคขวางกั้นทั้งหลายหายไปในบัดดล พวกเรากลับมามีรอยยิ้ม คุยเล่นกันได้อีกครั้ง และก็ได้เวลากินมื้อค่ำ มื้อนั้นกินที่โรงแรมที่พักเพราะเหนื่อยล้ากันเต็มที ร้านอาหารอยู่ชั้นบนสุด ไม่มีใครเลย นอกจากโต๊ะเราโต๊ะเดียว ได้ลิ้มลองโมโม่ทอดของที่นี่ ยกให้อร่อยสุดตั้งแต่เคยสั่งกันมา ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ เด็กวัยรุ่นที่เสริฟอาหารและคนครัวมาขออนุญาติปิดร้านก่อน เพราะพวกเขากำลังจะไปเที่ยวงานวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน เออ! จริงสินะ วันนี้ก็เป็นวันสงกรานต์ปีใหม่บ้านเราเหมือนกันนี่นา