Wednesday, February 28, 2007

(Crime-Mystery-Thriller) Movies I Like

Fargo (1996), Joel Coen
"Small town. Big crime. Dead cold."
"A lot can happen in the middle of nowhere."

The Talented Mr. Ripley
(1999), Anthony Minghella
"How far would you go to become someone else."
"Everybody should have one talent...what's yours?"
"It's better to be a fake somebody than a real nobody."

21 Grams (2003), Alejandro González Iñárritu
"How much does life weigh?"
"They say we all lose 21 grams at the exact moment of our death...everyone. The weight of a stack of nickels. The weight of a chocolate bar. The weight of a hummingbird..."
"How much does love weigh?"
"How much does revenge weigh?"
"How much does guilt weigh?"

Misery (1990), Rob Reiner
"Paul Sheldon used to write for a living. Now, he's writing to stay alive."

Se7en (1995), David Fincher
"Long is the way, and hard, that out of hell leads up to light."
"Earnest Hemingway once wrote, "The world is a fine place and worth fighting for." I believe the second part."

The Sixth Sense (1999), M. Night Shyamalan
"Not every gift is a blessing."
"There are ghosts walking among us, looking for help... They have found it."
"Do you Believe Now?"
"Can You Keep the Secret?"

Fight Club (1999), David Fincher
"Mischief. Mayhem. Soap."
"Works great even on blood stains."
"The first rule about Fight Club is :" You don't talk about Fight Club". The second rule about Fight Club is :" You don't talk about Fight Club"."
"No guts. No glory."

American History X
(1998), Tony Kaye
"Some Legacies Must End."
"Violence as a way of life."
"United by hate, divided by truth"
"See reality in your eyes when hate makes you blind"

Dancer In The Dark
(2000), Lars von Trier
"In a world of shadows, she found the light of life."

Gattaca (1997), Andrew Niccol
"Only the strong succeed"
"There Is No Gene For The Human Spirit."
"How do you hide when you're running from yourself?"

The Fugitive (1993), Andrew Davis
" A murdered wife. A one-armed man. An obsessed detective. The chase begins."

The Silence of the Lambs (1991), Jonathan Demme
"To enter the mind of a killer she must challenge the mind of a madman."

Mystic River (2003), Clint Eastwood
"The river has many depths. Let it wash over you."

Primal Fear (1996), Gregory Hoblit
"Sooner or later a man who wears two faces forgets which one is real."
"Don't believe everything you see..."

Life Less Ordinary (1997), Danny Boyle

Trainspotting (1996), Danny Boyle
"Choose life. Choose a job. Choose a starter home. Choose dental insurance, leisure wear and matching luggage. Choose your future. But why would anyone want to do a thing like that?"
"Never let your friends tie you to the tracks."

Shallow Grave
(1994), Danny Boyle
"What's a little murder among friends?"

Leon the Professional (1994), Luc Besson
"He moves without sound. Kills without emotion. Disappears without trace."
"If you want a job done well hire a professional."

Crash (2004), Paul Haggis
"You think you know who you are. You have no idea."
"Moving at the speed of life, we are bound to collide with each other."

Kiss the Girls (1997), Gary Fleder
"Smart Girls. Pretty Girls. Missing Girls."

Dolores Claiborne (1995), Taylor Hackford
"Sometimes, an accident can be an unhappy woman's best friend"
"They were separated by a death...and reunited by a murder."

Cape Fear (1991), Martin Scorsese
"There is nothing in the dark that isn't there in the light. Except fear."

U Turn
(1997), Oliver Stone
"Sex. Murder. Betrayal. Everything that makes life worth living."

Unfaithful (2002), Adrian Lyne
"If you had the opportunity, would you?"
"Where do you go when you've gone too far?"

Swimming Pool (2003), François Ozon
"On the surface, all is calm."

Courage Under Fire (1996), Edward Zwick
" A medal for honor. A search for justice. A battle for truth."

The Pelican Brief (1993), Alan J. Pakula

The Client (1994), Joel Schumacher
"A District Attorney Out For A Conviction. A New Lawyer Out Of Her League. A Young Boy Who Knew Too Much."

The Rainmaker (1997), Francis Ford Coppola
"They were totally unqualified to try the case of a lifetime... but every underdog has his day."

Monster (2003), Patty Jenkins

Monday, February 26, 2007

Love Foolosphy



ความเป็นมาของชื่อ Blog นี้ มีที่มาจากชื่อเพลง Love Foolosophy ของ Jamiroquai คิดว่าชื่อนี้มันน่ารักดี และที่สำคัญมากคือ มีชื่อตัวเอง Foo มารวมกับ losophy แต่ไม่ใช่ในความหมายของ Love Fool-osophy แบบที่พี่ Jamiroquai ต้องการจะสื่อ Foo'-losophy ของเรานี้ แปลความหมายแบบเข้าข้างตัวเองสุดๆ ว่าเป็น 'ปรัญญาของฟู่' เป็นไง เลิศหรู ฟู่ฟ่า อลังการ Hi-so มั๊ยหล่ะคะท่าน ฮิฮิ!! แต่บางเรื่องอาจจะ Fool ไปจริงๆ นี่ก็ไม่รู้แฮะ โปรดใช้วิจารณญาณส่วนตัว ตัดสินกันเอาเองแล้วกัน

Jamiroquai เป็นศิลปินเพลงในหมวด Funk-Disco-Pop-Dance รู้จักกันครั้งแรกกับ Traveling Without Moving Album ในปี 1997 ที่ร้าน Virgin ใน SF ทดลองฟังครั้งแรก ติดใจซื้อแผ่นเลย หน้าตาศิลปินเป็นไงไม่รู้ เพราะบนปกมีแต่สัญลักษณ์ 'เด็กมีเขา' ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวปรากฏอยู่ นับเป็น Album ในดวงใจ ถูกใจล้นเหลือกับ Style เพลงแบบนี้ ในปีนั้นเขามีโปรแกรมแสดงสดในคลับแห่งหนึ่งที่ SF ด้วย ตื่นเต้นส์ อยากจะไปดูม๊ากกกก แต่ไม่มีเพื่อนไป คือจริงๆกลัวที่จะต้องไปคนเดียวในคลับแถว downtown เวลาดึกๆดื่นๆ ซึ่งแถวนั้นพี่มืดเยอะจัดเอาการอยู่ ถึงจะชอบยังไงก็เหอะ เดี๊ยนขอปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ครั้งนั้นเลยชวดไปแบบเสียดายสุดๆ จนเมื่อกลับมาเมืองไทย มีเรื่องให้ชวนตื่นเต้น แบบไม่อยากจะเชื่อว่า Jamiroquai จะมาเปิด Live Concert in Bangkok หูย! ครั้งนี้เดี๊ยนไม่ขอพลาดแน่ๆ ถึงจะไม่มีเพื่อนไป ก็จะไปแน่ๆ นี่เล่นในถิ่นฐานบ้านเราเอง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่แล้วสถานการณ์โลกกลับไม่เป็นใจ เกิดเหตุวินาศกรรมขึ้นที่บาหลี ทำให้ Jamiroquai บอกขอเลื่อน Concert เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัย คนจัดงานเลยต้องคืนเงินค่าตั๋ว แง! ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ด้วยฟะ? อุตส่าห์ตื่นเต้นดีใจ นึกว่าจะได้สัมผัสตัวจริง เสียงจริง ต้องมาชวดซ้ำสอง ให้ช้ำใจเล่นอีกแล้วเหรอเนี่ย เซ็งจิตจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะมีบุญวาสนาพาโชคให้เราสองได้เจอะเจอกันเสียทีนะจ๊ะพ่อคุณ

Lyric: Love Foolosophy
Album: A Funk Odyssey (2001)
Artist: Jamiroquai

Baby Baby, I feel these sweet sensations
Honey honey, looks like a superstar
She' got a promise of love-struck fascination
What am I to do? How am I to know?
Who you are

And this love, Fool, osophy is killing
Previous illusions that
I had in my mind about you
Seems so true, all the lies you're telling
Tragically compelling and
My love it means nothing to you
So maybe I'm still a love Fool

She shimmers like a California sunset
Lady lady, glitters but theres no gold
She carries sweetly infectious magic formulas
I'm so delirious, is she that serious?
Or is she bringing me on, I've been waiting so long

And this love, Fool, osophy is killing
Previous illusions that
I had in my mind about you
Seems so true, all the lies you're telling
Tragically compelling and
My love it means nothing to you
So maybe I'm still a love Fool

I don't want the world I want you
I don't want the world I want you
I don't want the world I want you

Love, Fool, osophy is killing
Previous illusions that
I had in my mind about you
Seems so true, all the lies you're telling
Tragically compelling and
My love it means nothing to you
So maybe I'm still a love Fool
My love it means nothing to you
So maybe I'm still a love Fool

You're my love foolosophy
Don't you see it's killing me
You're my love foolosophy
Don't you see it's killing me

I'm a love fool

Let's go workout!

หลังจากว่างเว้นการออกกำลังกายมาได้สักระยะหนึ่ง ร่างกายคงทนไม่ได้ แอบส่งสัญญาณอันตรายออกมาเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ให้เจ้าตัวได้สำนึกถึงว่า ตอนนี้ร่างกายมึงถึงจุดอ่อนแอ ไม่มีภูมิคุ้มกันไอ้เจ้าวายร้ายนามว่า "ไวรัส" แล้วนะโว้ย ทำอะไรสักอย่างที่ดีๆให้กับตัวเองได้แล้วมึงงงงง ถ้ายังอยากจะอยู่ดูโลกสีฟ้าใบนี้ไปอีกนานๆ

และแล้วปฏิบัติการการออกกำลังกายก็เริ่มขึ้นตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์่ ที่สวนเบญจกิติ เดินวิ่งอยู่ 3 รอบทะเลสาบ สิริรวมระยะทางน่าจะได้อยู่ที่ 6 km วันแรกแรงยังดีอยู่ แต่มันส่งผลอาการปวดเมื่อยตามร่างกายในวันต่อมาทันที เเหมือนจะเป็นบทลงโทษของความขี้เกียจ เพราะหยุดยาวไปเมื่อไหร่ ก็ต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่แบบเจ็บปวดอย่างนี้แหล่ะ
ด่านต่อไปที่จะต้องเอาชนะให้ได้ก็คือ การไปออกกำลังกายซ้ำในขณะที่ยังปวดเมื่อยอยู่ ด่านนี้จะสำคัญมากเพราะต้องแข็งใจกัดฟัน เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ร่างกายหน่ะมันสู้อยู่หรอกแต่ใจเนี่ยต้องมาก่อน ฮึด! เอาวะกรู ไปซ้ำมันอีกสักวันสองวันเดี๋ยวก็หาย เมืื่อวานจึงตั้งใจไปเดินวิ่งที่สวนลุมหลังเลิกงาน โชคดีมากๆที่รถไม่ติดตรงทางลงทางด่วนพระราม 4 ทำให้การตัดสินใจทำได้ง่ายขึ้นมาก เพราะถ้าเห็นรถติดมาก อุปสรรคในใจ ความไขว้เขวจะประเดประดังเข้ามาทันที และเมื่อมาถึงสวนลุมเรียบร้อย ก็จัดการภารกิจเดินวิ่งสำเร็จไป 2 รอบกว่าๆ ระยะทางน่าจะอยู่ที่ราวๆ 6-7 km แต่แม่ง! ขอบอกว่า ปวดเมื่อยตัวยิ่งกว่าเมื่อวานหลายเท่าตัว เวลาจะก้มเอามือแตะเท้าแต่ละที อู๊ยยย! ทรมานม๊ากกกก ต้องคอยตือนสติตัวเองว่า 1. อย่าเพิ่งท้อนะมึง 2. อย่าเพิ่งท้อนะมึง และ 3. อย่าเพิ่งท้อนะมึง มึงต้องมาซ้ำรอยแผลเก่าให้มันชาชิน จนร่างกายเขาปรับตัวได้ เมื่อเข้าที่เข้าทางแล้วก็จะสบายเอง โอเคครับพี่มึง กรูบอกกับตัวเองว่าจะพยายาม สู้เขา....ทาเคชิ!!! ด่านมหาโหดขั้นต่อไปยังรอเจ้าอยู่ ฮ่า! ฮ่า!! ฮ่า!!!

Sunday, February 25, 2007

สวนเบญจกิติ

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เปลี่ยนบรรยากาศการไปออกกำลังกาย จากสวนลุมมาเป็นสวนเบญจกิติ ข้างศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ซึ่งระยะทางจากบ้านใกล้กว่าสวนลุมเล็กน้อย แต่ถ้าไม่ใช่วันอาทิตย์หล่ะก็ อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะการจราจรแถวนั้นรถมัักติดกันเป็นแพ ไม่ค่อยขยับตัวจากไฟแดงสี่แยกอโศก ยิ่งถ้ามีงานในศูนย์ประชุมด้วยแล้วหล่ะก็ ไม่ต้องขับไปให้เมื่อยตุ้มหรอก เสียเวลารถติดบนถนน และเปลืองพลังงานกับการวนหาที่จอดซะเปล่าๆ

ครั้งแรกที่ได้เข้ามาใช้บริการที่นี่ เรียกได้ว่าน่าประทับใจทีเดียว เพราะมีทางเดิน-วิ่ง ติดริมทะเลสาบเลย วิวเมืองโดยรอบก็สวยงามใช้ได้ แถมยังมีทางพิเศษ สำหรับจักรยานและ Roller Blade แยกเฉพาะให้อีก...ดีแฮะ คราวหน้าถ้ามาอีก จะลองเช่าจักรยาน ปั่นให้เมื่อยน่องซักหน่อย กิจกรรมทางน้ำก็มีนะ เขามีให้เช่าเรือถีบในทะเลสาบ แต่ไม่มีเรือพายหรือ Canoe แบบสวนลุม ซึ่งใครใคร่ทำกิจกรรมอะไร ก็เลือกได้ตามใจชอบ การจัด landscape สวนและพื้นที่ใช้สอยก็งามตา เป็นสัดส่วนดี ถึงต้นไม้ใหญ่ๆยังน้อยไปนิด แต่โดยรวมก็ยังชอบอยู่ ถ้าตั้งใจจะมาที่นี่ ควรมาเวลาเย็นๆ แดดร่มลมตก น่าจะดีที่สุด แต่พอมืดแล้ว ควรขยับร่างกายให้ได้มากที่สุด และควรรีบเผ่นให้ไว ถ้ายังไม่พร้อมบริจาคเลือด เพราะจะมีกองทัพยุงชุดใหญ่ซุ่มโจมตี แบบเฮ้ย! อะไรมันจะเยอะได้ขนาดนี้

ปอดของกรุงเทพฯแห่งนี้ น่าจะเป็นอีก 1 ทางเลือกที่ดีของคนเมือง ในการมาทำกิจกรรม Outdoor แต่ไหงวันนั้น มองไปมองมา กลับเห็นคนมาใช้บริการเป็นกลุ่ม expat ซะเยอะ เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะทำเลใกล้สุขุมวิทมั๊ง หรืออาจเป็นได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่แถวนั้น เขาเลือกที่จะไปที่แอร์เย็นๆ มากกว่าจะมาสูดอากาศเข้าปอดแบบธรรมชาติแบบนี้ ก็ไม่รู้นะ

Thursday, February 22, 2007

Music In The Park 14



เทศกาลดนตรีในสวน ณ. สวนปาล์ม ที่สวนลุม กับวง Orchestra BSO ทุกวันอาทิตย์ช่วงฤดูหนาว แดดร่มลมตก บรรยากาศสบ๊ายสบาย ปูเสื่อ เอนหลัง Picnic กันบนสนามหญ้า มีเพลงดีๆบรรเลงให้ฟังสดๆ ที่สำคัญ "ฟรี"
เรียกได้ว่าเป็นแฟนประจำรายการนี้มานานหลายปี และยังรักที่จะไปอยู่ พยายามชักชวนเพื่อนๆมาหลายหน แต่มีตกหลุมมาฟังด้วยกันน้อยมาก เลยชักสงสัยตัวเองว่า รสนิยมเราคงไม่ค่อยเข้าพวกกระมัง ดนตรีส่วนใหญ่ที่เล่นจะเป็นแนว Classic มี Pop แทรกบ้างตามแนวแขกรับเชิญ จริงๆก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเพลง Classic หรอก หูยังสูงไม่ถึง แต่ติดใจบรรยากาศโดยรวมมากกว่า มีแอบอิจฉาตาร้อนพวกฝรั่งที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ หิ้วไวน์ อาหารครบเซ็ต อุปกรณ์การกินพร้อมสรรพ บางกลุ่มมีจุดเทียนเสริมบรรยากาศ Romantic อีกต่างหาก เห็นแล้วอิจฉาจัง ก็ตูอยากมีแบบนี้บ้าง แงๆ

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นอาทิตย์สุดท้ายของเทศกาลปีนี้ มีบิ๋มและครอบครัวมา Join ด้วย ปีนี้เสียดายที่มีการจัดงาน 2 งานชนกัน ทำให้บรรยากาศขาดความ classic ไปหน่อย เพราะเสียงเริ่มตีกัน และไม่มีพลุให้ดูตอนจบงานด้วย (เอ...หรือว่าสิงห์ เขาตัดงบส่วนนี้ไปแล้วก็ไม่รู้แฮะ) อีกงานเป็นงานของเด็กๆ มีเล่านิทานพร้อมการแสดง แสงสีเสียงตระการตา จริงๆก็เป็นงานที่ดีนะ แต่ไม่น่ามาจัดชนกันแบบนี้ เพราะเวทีใกล้กันนิดเดียว ดนตรี Classic เขาจะไปสู้เสียงแม่มดได้ไงหล่ะจ๊ะ จะให้ดีนะ ให้วง BSO ไปเล่นสดๆประกอบการเล่านิทานไปเลยดีกว่า เล่นทุกเรื่องของ Disney นะ แล้วให้คุณรัดเกล้า, คุณธีรนัย, คุณกบ-เสาวนิตย์, คุณนรอรรถ มาร้องเพลงสดๆด้วยกัน คงจะน่าดูชมทีเดียวเชียว เอ้า! ใครเห็นด้วย ยกมือขึ้นเร้ว! พรึ่บ!!

Credit: รูปการแสดงดนตรีในสวนเป็นของหนูเหมียว ถ่ายไว้วันอาทิตย์ที่ 11 กพ. 2550 (เหมียวมากับคุณแม่) อาทิตย์นั้นยังมีีเก๋ พี่โจ และดญ. ออม มาด้วย....อบอุ่นใช้ได้

Wednesday, February 21, 2007

​Chill Out By The River




เย็นวันศุกร์ 16 กุมภาพันธ์ 2550 นัดบิ๋มไปงาน Gift ที่ศิลปากร รถติดใช้ได้เพราะเป็นวันจับจ่ายซื้อของไหว้ตรุษจีน จอดรถที่วัดมหาธาตุ ตามคำแนะนำของบิ๋ม...เจ้าถิ่นเก่า ทีนี้มีเวลาเหลือเฟือ เราเลยนั่งเรือข้ามฟากจากท่าช้างไปวัดระฆัง จุดหมายก็คือ ร้านอาหารของครูเล็กภัทราวดี ได้โต๊ะ​นั่งเป็น Dock ยื่นออกไปในแม่น้ำซะด้วย Take วิวกันสุดๆ นี่สงสัยว่าถ้าไม่มาตั้งแต่หัววันคงจะไม่มีบุญได้นั่งโต๊ะนี้แหงๆ ตอนแรกกะนั่งเล่นๆประเดี๋ยวประด๋าว ไปไปมามา เล่นนั่งกินกันจริงจังเลยเถิดกันไปถึง 2 ทุ่มโน่น ก็บรรยากาศมันดี๊ดี ลมเย็นสบาย วิววัดอรุณ พระบรมมหาราชวัง สะพานพระราม 8 ตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกจนเป็นแสงไฟระยิบ มันช่างงามจริงๆ แต่ตอนขากลับไปท่าเรือวัดระฆังเนี่ยสิ เรามาพบว่า...เราพลาดเรือเที่ยวสุดท้ายซะแล้ว (ดีนะที่ไม่ใช่รถด่วนขบวนสุดท้าย...อิอิ) แต่จังหวะดีที่ีีพบพี่สาวใจดี บอกทางเพื่อเดินไปข้ามเรือที่ท่าวังหลัง พอดีว่าคุณพี่เขาต้องเดินไปทางนั้นอยู่แล้ว เขาก็เลยเดินไปเป็นเพื่อนด้วย เดินไปคุยไป เจอหมาตุ้ยนุ้ยเจ้าถิ่นประจำซอยหลายตัว ดีแล้วที่เดินมากับพี่เขา...เพราะเดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด : )
และแล้วก็มาถึงงาน Gift ที่ศิลปากรในที่สุด คนเยอะเป็นบ้า เพราะกำลังมีการแสดงบนเวทีด้วย เสียงอึกทึก ครึกโครมเชียว ส่วนตรงที่ขายของก็ต้องไหลตัวแทรกฝูงชนเข้าไป จะหยิบจะจับจะดูอะไร ไม่ถนัดเอาซะเลย ของที่ขายก็ไม่โดนเท่าไหร่ ดูเด็กๆเขาขายคล้ายๆกันไปหมด แต่ก็ได้ตุ๊กตาผ้าทำมือมา 2 ตัว 60 บาท ประมาณว่าเป็นประเภทม้าๆลาๆนี่แหล่ะ ขาเก ตลกๆ เอาเหอะวะ...อุดหนุนเด็กๆเค้า ส่วนบิ๋มได้เสื้อยืด 1 ตัวเอาไปฝากหลานวัยรุ่นที่บ้าน ไหลตามกระแสอยู่ในศิลปากรได้ประมาณครึ่งชม.ได้มั๊ง แต่รู้สึกเหมือนร่างกายโดนดูดพลังไปเกือบหมดตัว ไอ้ที่ไปชิลชิล ริมน้ำมาเมื่อกี๊ หายหมด เลยพาลสงสัยว่า...ป้าคงไม่เหมาะกับงานเด็กๆแบบนี้แน่ๆ ดังนั้นเราไปหาอะไรเหมาะๆเย็นๆโดนๆ กันดีกว่า โต๋เต๋ เล็งร้านกันตรงแถวหน้าพระลาน เลือกเข้าร้านห้องแอร์ สั่งเบียร์ 1 เหยือก แก้ว 2 ซัดเบียร์แกล้มมะม่วงกันไป นี่สิ...ถึงจะเหมาะกับวัยป้าๆอย่างเรา...เอิ๊ก! เอิ๊ก!!

Indy [ Book, Film, Music & Art ] Festival IV



11 กุมภาพันธ์ 2550 งาน Indy Festival ที่สวนสันติชัยปราการ ถ. พระอาทิตย์
งานเด็กแนว Alternative Independent มีค่ายเพลงไม่อิงกระแส หนังสั้น หนังดีมีคุณภาพ เสวนาของผู้มากประสบการณ์แนวๆทั้งหลาย หนังสือทำมือ ของกระจุ๊กกระจิ๊ก มาโชว์ มาขายกัน
วันที่ไปกับเหมียว เราวิ่งรอกกันมาจากงานดนตรีในสวน ที่สวนลุม มาถึงงานนี้ก็เกือบ 2 ทุ่ม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายพอดี อากาศกำลังดีเชียว ลมโกรก เย็นสบาย คนก็ไม่เยอะมาก เดินดูของได้เพลินๆ และ Shop ได้หนังดีหายากในท้องตลาดทั่วไปมา 2 เรื่อง คือ ฟ้าทะลายโจร ของคุณวิศิษฐ์ กับ Not One Less ของปรมาจารย์จางอวี้โหมว โชคดีมาทันได้ดู Paradox เล่นด้วย หูย! โหด มันส์ ฮา พลังเยอะเหลือล้น โดยเฉพาะน้องๆ Dancers แต่ละท่า+Costume นี่ไม่รู้ว่าคิดกันได้ไง ฮาสุดๆ โปรแกรมนี้โดนใจป้าเหมียว แฟนเพลงParadox ตัวจริงไปเต็มๆ กิจกรรมหลัง Paradox มีฉายหนังกลางแปลงริมน้ำ กางเสื่อดูได้ฟรี จริงๆตั้งใจมาดูหนังสั้น ฺTotal Bangkok ของเป็นเอก แต่ชวดไป ไม่รู้ว่าฉายไปแล้วหรือเปลี่ยนโปรแกรม? หนังที่ฉายเป็นโปรแกรมส่งท้ายเทศกาลปีนี้ เป็นหนังญี่ปุ่นเรื่อง The Village Album ได้ยินมาว่าหนังดีมากๆ อยากดูเหมือนกัน แต่ป้าทั้งสองเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้...วันจันทร์ยังต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานอีก...เลยขอ Bye ดีกว่า

Credit รูปถ่ายทั้งหมดเป็นของหนูเหมียวคนเดีียว มีถ่ายเก็บเป็น vdo clip ด้วย...เอาไว้รอชมตอนต่อไป

Thursday, February 15, 2007

Traveling Music



"Let the world change you...
and you can change the world."
Ernesto "Che" Guevara
เป็น soundtrack จากภาพยนตร์เรื่อง "The Motorcycle Diaries"
เพลงเพราะมาก จนต้องไปตามเก็บ CD ซึ่งหายากมากในกทม.
ฟังแล้วรู้สึกว่า...การเดินทางมันช่างยิ่งใหญ่และเปลี่ยนแปลงความคิดของคนได้จริงๆ
ที่ Official Movie Website จะมี Trailer หนังและ Soundtrack ให้ฟังด้วย
Just click on this.

My Favorite Tracks in Diarios De Motocicleta album:
  1. Le Usuahia A La Quiaca: แนวเศร้านิดๆ เหมือนกำลังมีสิ่งให้ขบคิด
  2. Jardin: นี่ก็แนวเศร้านิดๆอีกเช่นกัน
  3. Al Otro Lado Del Río: ลาตินหวานๆ
  4. La Partida: การผจญภัยที่มีเรื่องราวให้จดจำ
  5. Leaving Miramar: หวานและเศร้าปนๆกัน
  6. Apertura: การเริ่มต้นเดินทางผจญภัยที่ยิ่งใหญ่
  7. Chipi Chipi: เพลงรักสนุกๆเหมาะกับงานรื่นเริง
Composed by: Gustavo Santaolalla

นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง
Based on a true life story, The Motorcycle Diaries is an inspiring
and thrilling adventure that traces the
youthful origins of a
revolutionary spirit.
The film follows two daring friends,
Ernesto "Che"
Guevara and Alberto Granado, who hop on the back
of a beat-up motorcycle for a breathtaking and exciting road trip
across Latin America.


Journey:
Argentina: Cordoba, Nechochea, Bariloche
Chile: Santiago, Antofagasta
Peru: Lima, San Pablo
Colombia: Bogota
Venezuela: Caracus

Period: Dec 1951 - July 1952

ปล.1 มีโฆษณาของปตท. ถ่ายทำที่ประเทศโอมานและกำลัง On air อยู่ตอนนี้
หยิบเอาเพลงในหนังเรื่องนี้มาใช้ด้วย แต่อยากจะบอกว่า โอ๊ย! ไม่ไหวจ้า...รับไม่ได้
ก็ของแท้ต้นฉบับมันดีกว่ากันเยอะนี่นา และก็เลยพาลให้ไม่ชอบโฆษณานี้ไปด้วย
เมื่อไหร่เจอ...เป็นต้องกดรีโมตเปลียนช่องโดยอัตโนมัติทุกทีสิน่า

ปล. 2 ตอนไป San Francisco ช่วงเมษา 06 เรื่องนี้กำลังเข้าโปรแกรมฉายอยู่ที่
Foreign Cinema เป็นร้านอาหารที่ฉายหนัง Outdoor ให้ดู...ไอเดียแปลกดี
่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ SF แต่เช่า DVD มานอนดูที่บ้านกทม.

นี่ไงสิ่งประดิษฐ์ของเด็กไทย



ช่างประจวบเหมาะบังเอิญซะอะไรเช่นนี้ ที่ไปเจอข่าว
ของจุดประกาย BangkokBiznew ว่ามีสิ่งประดิษฐ์
เกี่ยวกับการกำจัดยุงของเด็กไทย ก็เพราะเพิ่งบ่น บ่น
ไปที่ Post ก่อนหน้าว่าไม่เห็นมีผลงานของเด็กไทยบ้างเลย
นี่เลยเจอเข้าให้...ผลงานของ ด.ช.ธวัธชัย ประสานเชื้อ
ร.ร.สุนทรวัฒนา จ.ชัยภูมิ (เด็กต่างจังหวัดซะด้วย)

ได้รับรางวัลสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ ของ สสวท.
จากผลงาน
ขวดกำจัดลูกยุงลาย โดยใช้ขวดน้ำอัดลมดัดแปลง
ทำเป็นอุปกรณ์ดักจับลูกน้ำยุงลาย แต่ข้อมูลในข่าวยังไม่กระจ่าง
ยังสงสัยอยู่ว่ามันทำงานยังไง ไว้ต้องลองไปค้นดูจาก Web สสวท. อีกที
แต่ดีใจจัง....มีเด็กไทยเก่งๆ ช่วยกู้หน้า ไม่อายเด็กไต้หวันเขาแล้ว



Wednesday, February 14, 2007

DIY: Mosquito Trap



ทำเองได้...ง่ายจัง กับการประดิษฐ์อุปกรณ์ดักยุง
ซึ่งเป็นผลงานของนักเรียนจีนไต้หวัน...เก่งจังเลย
ทำไมนักเรียนไทยไม่มีสิ่งประดิษฐ์แบบนี้มั่ง
ทั้งๆที่บ้านเรายุงเยอะ ยั้วเยี้ยสุดๆ

เห็นแล้วน่าเอาไปลองทำดู อุปกรณ์ก็มีไม่กี่อย่างเอง
ตามตำราเขาบอกว่าต้องใช้สิ่งของดังต่อไปนี้

Materials Needed:

2000ml (2 liter) bottle (อันนี้หาง่าย)
50 gram (brown?) sugar (น่าจะมีขายที่ตลาด)
1 gram yeast (ไอ้ยีสต์ เนี่ยสิ จะไปหาซื้อได้ที่ไหน?)
Thermometer (ศึกษาภัณฑ์ น่าจะมี)
Measure cup (อันนี้ไม่ยาก)
Knife (มีอยู่แล้วในครัว หรือไม่ก็ cutter ในกล่องดินสอ)
Black paper (มีอยู่แล้ว)

เมื่อหาสิ่งของข้างบนได้ครบแล้ว คราวนี้ตามไปอ่านวิธีการทำได้
โดยคลิ๊กที่นี่จ้า

ปล. ต้นฉบับดั้งเดิมเขาทำเป็นภาษาจีน แต่มีคนใจดีเอามาแปลเป็นอังกฤษ
ยังไม่มี Version ภาษาไทย...เดี๋ยวคงมีตามมาแหล่ะ

ที่พักหลักร้อย

เป็นกระทู้แนะนำ ใน Pantip-Blue Planet Webboard
มีข้อมูลที่พักที่น่าสนใจมากๆ สำหรับนักเดินทาง กระเป๋าแฟบ
ที่ชอบที่พักแบบไม่ต้องหรูเริ่ด อลังการ ขอแค่สะอาด
ปลอดภัย มีบรรยากาศดีๆ ก็สุขเกินพอ....ล้าลันลา

ถ้ากระทู้ยังอยู่ยั้งยืนยง ก็คงดูได้ ที่นี่นะ
แต่ถ้ากระทู้ตกบอร์ดไปแล้ว มา download Excel file กันได้เลย ที่นี่จ๊ะ
ยกเครดิตนี้ให้คุณ jbunny, คุณ sharing และคุณลีฟ

ฝึกพลังลมปราณ เพื่อสุขภาพ

มาเจอะเจอข้อมูลนี้โดยบังเอิญ ดูแล้วน่าสนใจ เป็นประโยชน์ และน่าเอาไปลองฝึกดู
โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด ซึ่งเพื่อนเรา...บิ๋มและ David เป็นอยู่
หรือสำหรับผู้สูงอายุ คนที่ไม่ชอบออกกำลังกายหนักๆ

คุณศุภกิจ นิมมานนรเทพ ผู้บรรยาย ผู้เผยแพร่วิธีและคุณประโยชน์
ของการฝึกพลังลมปราณนี้ เป็นอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
ซึ่งเป็นคนไข้โรคหัวใจของพี่หมอพูลชัยด้วย...ช่างบังเอิญแท้ๆ

ชม clip สัมภาษณ์ คุณศุภกิจ กับการฝึกพลังลมปราณได้ที่นี่
กับอ่านบทสัมภาษณ์ใน สกุลไทย ฉบับที่ 2432 ปีที่ 47
ประจำวันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2544 ได้ที่นี่

จะเชื่อได้หรือไม่ คงต้องลองดู และการฝึกให้ได้ผล ต้องมีวินัยในตัวเองมากๆ

Valentine's Day Vol. II

วันนี้เป็นวันแห่งความรัก...จึงขอรักตัวเองก่อน
และขอถือโอกาสเป็นฤกษ์งามยามดี เป็นวันที่เหมาะแก่การเริ่มต้น
ทำบางสิ่งบางอย่างที่แปลกใหม่ ต่างไปจากวันอื่นๆ
ด้วยการมีพื้นที่เก็บความคิด ความรู้ใหม่ๆที่ได้เจอะเจอ
ในชีวิตประจำวันและบนโลก Online

เพราะมีหลายครั้งหลายหนที่เรื่องบางอย่างเคยเจอะเจอ
หรือเห็นว่าน่าสนใจ แต่ก็ไม่เคยใส่ใจเก็บบันทึกมันเอาไว้
เลยกลายเป็นว่า ต้องมาเสียดายของดีๆที่เราปล่อยให้มันผ่านเลยไป
บางครั้งเสียเวลากับการที่ต้องมานั่งค้นหากันใหม่
และอีกอย่าง...กระแสของการมีพื้นที่ในโลก cyber มาแรงมาก
ถึงจะเป็นพวกตกรถด่วนขบวนสุดท้ายมาแล้ว
แต่คราวนี้ไม่ขอพลาดรถด่วนกระแสหลัก Online ขบวนนี้
ขอเกาะเกี่ยวเหนียวหนึบไปด้วยคน
เพราะอิฉันไม่อยากตก Train /Trend ซ้ำสองหง่ะ : )

Tuesday, February 13, 2007

Octopuslike



ลูกอะไรไม่รู้เรียกไม่ถูก ไปเจอมาจากร้านดอยคำ อตก.
หน้าตา สีสัน รูปร่าง น่ารักมาก มีหัวจุก หรือ หางจุกหว่า?
เหมือนมะเขือผสมปลาหมึก เดาเอาเองว่าน่าจะเป็นญาติกัน
เอาไว้กินหรือเอาไว้ดูเล่นก็ไม่รู้อีก
ลูกละ 10 บาท ซื้อมา 2 ลูก
เก็บไว้เอง 1 แบ่งให้บิ๋ม 1 เอาไปช่วยกันชมความแปลก
อยู่มาสัก 1 อาทิตย์ เริ่มมีริ้วรอย สีเริ่มเปลี่ยน
ความเต่งตึง ลดหายไป อีกไม่นานคงถึงเวลาของมัน

Valentine's Day Vol. I



วันนี้เป็นวันแห่งความรัก...ดูคนอื่นๆเขาตื่นเต้นกันจัง
ทั้งๆที่มันก็เป็นวันธรรมดาสามัญวันหนึ่งในปฏิทิน...สำหรับเรา (คนเดียวมั๊ง)
ความรัก...มันอยู่ที่ใจและการกระทำที่แสดงออกอยู่ทุกวันมากกว่า
ไม่จำเป็นต้องมาแสดงออกกันวันนี้วันเดียวซะเมื่อไหร่
อย่างเมื่อคืนนอนดูรายการ 'คนค้นคน' เป็นเรื่องราวความรักที่น่าประทับใจ
ของคุณตาลอบและคุณยายทอง อยู่ที่ อ. เชียงคาน จ. เลย
ที่รักกัน ดูแลกัน ไม่ว่าจะยามสุขหรือยามทุกข์
ไม่ว่าเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปหรือสังขารที่ล่วงโรย
ก็ไม่อาจทำให้ความรักที่คุณตามีต่อคุณยายเปลี่ยนไปได้
การรักษาคำมั่นสัญญา ว่าจะรักและดูแลกันไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ
คำมั่นสัญญานั้น คุณตายังรักษาอยู่ตลอดระยะเวลา
ที่ครองรัก ครองเรือน อยู่กับคุณยายด้วยกันมา 50 กว่าปี
และถึงแม้ว่า 6 ปีหลัง คุณยายจะดูแลตัวเองไม่ได้
แต่คุณยายก็มีคุณตาผู้เป็นที่รัก คอยดูแลปฏิบัติอยู่ทุกวัน
ไม่เคยห่างหายไปไหน คุณตาผู้ที่แสดงให้เราทุกคนเห็นว่า
ความรักแท้นั้นเป็นเช่นนี้เอง พึงดูไว้เป็นตัวอย่างนะหลานๆเอ้ย!
“สำหรับตาวันนี้มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไรเลย ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้กันทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก
ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหน เพราะถึงไม่มีวันนี้ ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน”

“ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่า จะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมดเลย เพราะว่ายายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่า ยายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง เพราะความหวังนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไป จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง”