Friday, May 11, 2007

Nepal Trip | Day IV

Apr 14.2007

เริ่มต้นวันใหม่ กึ่งง่วงกึ่งตื่น ด้วยการนอนหลับตาฟังเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของนักท่องเที่ยว ที่กำลังออกเดินทางไป trek กัน ตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ห้องที่เราพักอยู่ด้านหน้าติดถนน ดังนั้นเสียงคน รถ หมาเห่า นกร้อง ไก่ขัน จึงได้ยินอย่างชัดเจน อดทนนอนฟังเสียงอยู่ได้ไม่นาน ก็อดรนทนไม่ได้ ต้องตื่นแบบจริงจังกันไปเลย อัดอาหารเช้าด้วยขนมที่ชิ้นซื้อมาให้ และผลไม้ทั้งซื้อใหม่และเก่า ต้องพยายามบริโภคกันให้มากที่สุด เท่าที่กระเพาะจะรับได้ ไม่งั้นก็ต้องแบกน้ำหนักขึ้นไปบนเขาด้วย

เดินไปที่ร้านโอม...แต่โอมไม่อยู่ อยู่แต่คุณภรรยา นั่งรอสักพักโอมมาพร้อมลูกหาบ โอมแนะนำให้รู้จักลูกหาบของเรา เขาชื่อ "ดีล" ท่าทางดูเป็นมิตร และดูเหมือนจะอายุเยอะแล้วเหมือนกัน โอมโปรยข่าวดีมาก่อน คือ เขาจะไป Ghandruk ด้วย เย้!!! แต่ก็ตามติดมาด้วยข่าวที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่คือ เขาขอราคาค่า guide เพิ่มอีก 1,000 รูปี อ้าว!!!!! งงกันไปตามๆกัน เขาบอกเหตุที่ราคาเปลี่ยน เพราะว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการจ้างลูกหาบ โดยลูกหาบจะยังอยู่นำทางและแบกของให้เราจนจบทริป แต่เขาจะอยู่กับเราแค่คืนเดียว อ้าว! เอางี้เลยนะเพ่ แต่จะทำไงได้หล่ะ เป็นหมูมาให้เขาเชือดถึงเขียงแล้วนี่ ทางเลือกเดียวที่จะไปต่อได้ นั่นก็คือจ่ายเพิ่มอีก 1,000 รูปี ซึ่งอันที่่จริงแล้วโอมเขาก็มีธุระส่วนตัวที่จะต้องขึ้นไป Ghandruk อยู่แล้ว นี่เหมือนได้ 2 เด้งคือได้เงินจากพวกเราเข้ากระเป๋า+ไปธุรกิจของเขาเองใน trip เดียว นี่แหล่ะน้านักธุรกิจแขก จังหวะมาพอดีก็รับทรัพย์กันไป เมื่อตกลงกันได้ ก็เริ่ม pack เป้และถุงนอนของทุกคนลงไปในถุงใบใหญ่ใบเดียว เพื่อให้ลูกหาบแบกของได้สะดวกขึ้น pack เสร็จ ลูกหาบของเราทดลองแบกของขึ้นหลัง ท่าทางหนักไม่ใช่เล่นแต่เขาก็แบกได้สบายมาก ทีนี้ก็นั่งรอเวลาออกเดินทาง...

เขียน post นี้ค้างไว้ตรงนี้ เว้นวรรคไปตั้งแต่ปีที่แล้วนู่น เรื่องยังไม่จบแค่นี้ มีอีกตั้งหลายเรื่องให้โม้ แต่คนเล่าเริ่มเบลอๆ ขนาดจะกลับมา log in blog ตัวเอง ยังจำ password ไม่ได้เลย ดังนั้นเรื่องต่อจากนี้ โปรดดูจากรูปการเดินทางเอาเองนะจ๊ะว่ามันส์หยดติ๋งแค่ไหน ไม่เฉพาะภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวก็มีด้วย ได้ที่นี่นะจ๊ะ >> กรุณานำหนูตัวน้อยๆ มา click <<

Wednesday, May 9, 2007

Nepal Trip | Day III

April 13.2007

เสียงนาฬิกาปลุกดัังขึ้นแต่เช้ามืดตึ๊ดตื๋อ บิ๋มลุกไปอาบน้ำก่อนเพื่อน เราตื่นตามมานั่งเก็บนู่นนั่นนี่ สักพักเหมียวเอะใจ ตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาปลุกของตัวเอง ทำไมมันไม่ดังสักกะที โอ๊ย! บิ๋มนี่มันเพิ่งจะตี 4 เองนะ เท่านั้นแหล่ะ ขำกันกลิ้ง สงสัยบิ๋มจะเบลอตั้งเวลาเมืองไทย อิอิ

กองทัพพร้อมออกเดินทางตอน 6 โมงเช้า Taxi มารออยู่แล้ว ใช้เวลาไม่นานก็ถึงท่ารถ มีรถ Tourist Bus หลากหลายหน้าตา จอดเรียงรายกันอยู่ริมถนน ไม่รู้ว่าของเราคันไหน แต่พอเดินไปถามปุ๊บ พี่เขาก็ชี้คันตรงหน้านี่เลย เฮ้ย! อะไรมันจะถูกเผงขนาดนั้น เริ่มกลัวโดนหลอก แต่ทำไงได้พี่เขาฉีกต้นขั้วไปแล้ว ยังไงก็ต้องไปกับรถคันนี้แหล่ะ พอเดินขึ้นไปสำรวจที่นั่ง พี่เขาจัดให้นั่งซะท้ายเลย ไม่เห็นจะมีหมายเลขกำกับบอกเลขที่นั่งแบบในตั๋ว เลยสงสัยว่าพี่เขาน่าจะจัดให้นั่งแบบ ตามใจพี่เขาซะมากกว่า เหมียวต่อรองว่าจะเอาที่นั่งด้านเห็นวิว เขาก็ชี้ๆที่นั่งด้านเดียวกับคนขับประมาณเบาะตรงล้อหลัง เอาวะ! ตรงนี้ก็ตรงนี้ วางสัมภาระเสร็จสรรพก็ลงไปเตร็ดเตร่ข้างล่าง ซื้อผลไม้ไว้กินระหว่างทาง นักท่องเที่ยวก็เริ่มทะยอยกันมาเรื่อยๆ สำรวจสภาพรถ...ก็ ok นะ ดูว่าน่าจะพาพวกเราขึ้นเขาไปถึง Pokhara ได้ รถคันเรา 90% เป็นชาวเนปาลี และอีก 10% ที่เหลือก็คือพวกเราและนักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่นๆ ซึ่งโดนจับมานั่งกระจุกรวมกันอยู่ท้ายรถทั้งหมด สงสัยกลัวหนีมั๊ง???

รถออกค่อนข้างตรงเวลา รถคันเรานำออกจากท่าก่อนคันอื่น ช่วงถนนออกนอกเมืองรถติดแหงกอยู่ตรงสี่แยก ไม่มีใครยอมใครแม้จะมีตำรวจคอยโบกมือไหวไหวอยู่ กว่ารถเราหลุดจากการจราจรไปได้ ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร เมื่อรถออกนอกเมืองก็มีแต่ทางขึ้นๆลงๆ โค้งลัดเลาะไปตามเขาเป็นร้อยๆพันๆโค้งเหมือนทางไปปาย แต่ถนนที่นี่แคบกว่ามาก รถสวนกันแต่ละที ห่างกันไม่กี่คืบ ความหวาดเสียวมีให้เห็นเรื่อยๆ ช่วงรถใหญ่แซงกัน ต้องขอบคุณพี่คนขับรถเราที่มีสติ ควบคุมขาตัวเองให้แตะเบรครถไว้ได้ทันการณ์ ไม่งั้นคงได้ประสานงากับพี่รถบัสอีกคันที่แซงขึ้นมา ตอนนั้นรถ 2 คันประจันหน้ากันแบบจะจะ คิดว่าจะโดนเข้าให้แล้วแหงๆ แต่ก็รอดมาได้แบบหวุดหวิดจริงๆ เฮ้อ! โล่งไปที

ระหว่างทางรถคันเรามีแวะให้พักกินอาหารเช้าและอาหารเที่ยงด้วย กลุ่มชาวต่างชาติเหมือนโดนบังคับให้นั่ง และกินอาหารที่ทางร้านจัดไว้เท่านั้น ได้กินช้า ราคาแพง แถมต้องทำเวลาให้ไว ไม่งั้นอาจโดนทิ้งให้ตกรถได้ เอ้า! เอาไงเอากัน ก็มากับพี่เขาแล้วนี่ ช่วงบ่ายๆมีรายการบันเทิงสลับฉาก มีนักดนตรีวัยรุ่นหน้าตาแนวโหดๆขึ้นรถมา กระโดดขึ้นมาจากเขาลูกไหนไม่รู้ เล่นขับกล่อมร้องเพลงพร้อมสีดนตรี ลักษณะคล้ายๆไวโอลินทรงสั้นอวบ แบบเดียวกับที่เห็นพี่หมีพูสีเล่นให้ฟังอยู่เมื่อคืน ร้องอยู่เป็นนานสองนาน ข้ามเขาไปก็หลายลูก แกก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แถมนำเสนอแบบ ring size ทุกที่นั่ง มีคนให้สตางค์อยู่พอสมควร ตอนไปก็ไม่รู้ว่าไปกระโดดลงตรงเขาลูกไหน คิดดูแล้วเด็กคนนี้เขาก็มีความพยายามดีนะ หากินสุจริต ขายเสียงเพลงแลกเงิน เสียดายที่เสียงน้องเขาไม่ใส ออกแนวแหบๆแห้ง ไม่งั้นอาจจะเป็นคู่แข่งพี่หมีพู ที่ร้านอาหารเมื่อคืนก็ได้

หลับๆตื่นๆ โขยกเขยกอยู่บนรถมาได้ 6-7 ชม. ก็มาถึงเมือง Pokhara โดยสวัสดิภาพ ที่ท่ารถบัสมี Taxi จอดเรียงรายรอท่าอยู่แล้ว ยังไม่ทันจะก้าวลง ก็มีคนกรูกันเข้ามาเสนอที่พักและTaxi ตอบไปแบบหน้าง่วงๆว่าจะไปแถว Lakeside งานนี้เลือกไปกับคนที่มาถึงก่อนเป็นคนแรก ตอนแรกคิดว่าเขาเป็นคนขับ Taxi แต่ปรากฏว่า อ้าว! เป็นนายหน้าที่พักหรอกรึ นั่งติดรถไปด้วยกันแบบงงงง ระหว่างทางก็นำเสนอที่พักของเขาไป แต่เราขอไปดูที่พักที่เราอ่านมาจาก guide book ก่อน เข้าไปที่แรกโรงแรมเตียงหิน Bedrock เจอพนักงานพูดจาประหลาด เลยชิ่งออกมาดูที่พักฝั่งตรงข้ามชื่อ Dharma Inn ห้องธรรมดาสามัญ พออยู่ได้ ราคาถูกมาก ตก 300 รูปีหรือ 180 บาทไทย หรือ 60 บาทต่อคน โอ้ว! ช่างยอดเยี่ยมกระเทียมดองอะไรเช่นนี้ ตกลงใจเอาที่นี่แหล่ะ พอเอาสัมภาระเก็บเข้าที่ ก็เดินตัวปลิวออกไปเดินเที่ยวกันดีกว่า

ยังมีภารกิจที่ต้องจัดการด้วยก็คือ ต้องหาข้อมูลเรื่อง Trekking ลูกหาบ เช่าถุงนอนกับไม้เท้า ดังนั้นระหว่างเดินไปก็มองหาร้านไปด้วย เจอร้านแรกติดกับที่พัก มีของไม่พอกับที่เราต้องการ เลยเดินต่อไปร้านหน้าถนน เจอร้านขาย-ให้เช่าอุปกรณ์ Trekking แบบครบครัน ชื่อร้าน Sherapa Trekking Shop ถูกใจราคาและอัธยาศัยกับสามีภรรยาเจ้าของร้าน เลยได้ถามไถ่ข้อมูลการเดินทางไว้ด้วย เมื่อจัดการภารกิจเสร็จสรรพ ก็ออกไปเตร็ดเตร่กันต่อ เหมียวชวนไปเช่าจักรยานขี่เล่นกัน เราโอเคได้อยู่แล้ว บิ๋มก็โอเคไม่มีปัญหา เลยได้ซิ่งจักรยานออกไปโฉบเล่นรอบๆเมือง

ถนนที่เราขี่จักรยานกันไป เป็นถนนเลียบทะเลสาบ Phewa มีทางแยกเข้าไปถึงท่าเรือ ซึ่งมีคนท้องถิ่นมาเที่ยว และโดยสารเรือไปวัดฮินดูกลางน้ำ หรือบางกลุ่มก็มาเช่าเรือพายเล่นในทะเลสาบ พวกเราแค่แวะถ่ายรูปแล้วก็ไปกันต่อ คราวนี้ขี่เข้าไปในเมือง มีร้านค้า ที่พัก ร้านอาหารเยอะแยะทั้ง 2 ข้าง บรรยากาศสมเป็นเมืองท่องเที่ยว มีการจราจรติดขัดอยู่บ้าง เพราะพอดีมีงานฉลองปีใหม่ คนท้องถิ่นเลยเฮโลนั่งรถมาเที่ยวกัน บรรยากาศอารมณ์งาน Festival ของเขาจะคล้ายๆงานวัดบ้านเรา ต้องซื้อตั๋วเข้าไปในงาน พวกเราไม่ได้เข้าไปในงาน ได้แต่ยืนมองจากข้างนอกรั้ว เท่าที่เห็นมีชิงช้าสวรรค์ ไวกิ้ง ขี่ช้าง ดูคึกคักไม่เบา โดยเฉพาะไวกิ้ง เสียงกรีี๊ดของคนเล่นเรียกความสนใจได้ดีทีเดียว

2 ชั่วโมงผ่านไป ใกล้จะมืดค่ำแล้ว จัดการเอาจักรยานไปคืนและแวะไปเอาอุปกรณ์ที่เช่าไว้ เหมียวกับบิ๋มได้ซื้อกระเป๋าเป้เล็กคนละใบ หลังจากเล็งๆไว้ตั้งแต่แรก เราเองก็เพิ่งเจอว่ารองเท้าที่ใส่มาเจ๊งกะโบ๊ะซะ ต้องถอยคู่ใหม่จากร้านนี้แหล่ะ ดีนะเนี่ยที่มาเจ๊งให้เห็นซะตอนนี้ ถ้าไปเห็นตอนปีนเขาคงจบกัน ซื้อของไปคุยไป กับคุณสามีเจ้าของร้านชื่อ "โอม" ถามไถ่อีกทีถึงเรื่อง Trekking permit กับเส้นทาง Ghandruk Loop เขาบอกว่าไม่ต้องทำ permit ก็ได้ แต่เขาคงต้องพาไปเอง บิ๋มเลยหยอดถามว่าเขาคิดเท่าไหร่ เขาคำนวณเบ็ดเสร็จเป็น package ราคาหลายร้อยดอลลาร์ เอ่อ! ราคานี้คงไม่ไหวมั๊ง ไอ้เสือถอยดีกว่า

พอกลับไปที่พัก ถามไถ่ถึงข้อมูลการเดินทาง ลูกหาบและ trekking permit กลับพบเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า พรุ่งนี้เป็นวันหยุดและที่ทำ trekking permit ปิด ถ้าจะไป trek ต้องรอไปวันมะรืนนู่น เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย พอเราถามว่า ไม่ต้องมีใบ permit แล้วไปได้ไหม เขาก็ยืนยันแบบขึงขังว่า ยังไงก็ไปไม่ได้มันผิดกฎ บลา บลา บลา เอาหล่ะสิ ปวดหัวจี๊ดจี๊ดเลย ไม่คิดว่าเราจะมาตายน้ำตื้นกันขนาดนี้ เครียดโว้ย! ขอกลับห้องไปสุมหัวคิดก่อนนะ เดี๋ยวค่อยกลับมาให้คำตอบว่าจะเอายังไงต่อ คิด คิด คิด และคำตอบที่ได้ก็คือ ยังไงซะพวกเราต้องไปเดินเขาให้ได้ เพราะไอ้ trip นี้มาเพื่อดูหิมาลัยนะ จะให้รอไปเดินเขาอีกวันก็คงไม่ไหว เวลาเรามีจำกัดและวางหมากไว้หมดแล้ว หนทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ กลับไปที่ร้านของโอม เผื่อว่าเขาจะหาทางให้เราไปได้

ตอนเดินเข้าไปที่ร้านอีกรอบ โอมและภรรยาของเขาคงงงกันอยู่บ้าง เพราะพวกเราหน้าตาวิตกจริตกันมาก แบบกำลังหาที่พึ่งพิงยามยาก เมื่อเราเล่าทุกอย่างจบ เราก็ขอให้เขาช่วย dump ราคา package หลายร้อยดอลลาร์ของเขา แบบ please please ได้โปรดเถอะหลายรอบ คุยกันอยู่นานทีเดียว เขาเองก็ต้องตัดสินใจ เพราะการเดินทางจะเป็นวันพรุ่งนี้แล้ว แถมเป็นวันปีใหม่ของเขาด้วย เขาบอกว่าจะไปนอนคิดดูก่อนว่าจะไปเองหรือจะหาคนอื่นไปกับเรา ยังไงมาเจอกันอีกทีพรุ่งนี้เช้าที่ร้านเขา และราคาแบบ please please ที่คุยกันท้ายสุด ลงมาอยู่ที่ 4000 รูปีหรือ 2,400 บาท เป็นค่า guide/porter เท่านั้น แต่เราต้องจ่ายค่าใช้จ่ายอย่างอื่นกันเอาเอง เออนะ! คิดคำนวณดูก็คุ้มเหมือนกัน เพราะถ้าเราต้องทำ trekking permit 3 คน เบ็ดเสร็จก็ 6,000 รูปี ยังไม่รวมอย่างอื่น ok, good deal นะเนี่ย ไชโย! ในที่สุดพวกเราก็ได้พบทางสว่างแล้ว

เหมือนยกภูเขาออกจากอก อุปสรรคขวางกั้นทั้งหลายหายไปในบัดดล พวกเรากลับมามีรอยยิ้ม คุยเล่นกันได้อีกครั้ง และก็ได้เวลากินมื้อค่ำ มื้อนั้นกินที่โรงแรมที่พักเพราะเหนื่อยล้ากันเต็มที ร้านอาหารอยู่ชั้นบนสุด ไม่มีใครเลย นอกจากโต๊ะเราโต๊ะเดียว ได้ลิ้มลองโมโม่ทอดของที่นี่ ยกให้อร่อยสุดตั้งแต่เคยสั่งกันมา ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ เด็กวัยรุ่นที่เสริฟอาหารและคนครัวมาขออนุญาติปิดร้านก่อน เพราะพวกเขากำลังจะไปเที่ยวงานวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน เออ! จริงสินะ วันนี้ก็เป็นวันสงกรานต์ปีใหม่บ้านเราเหมือนกันนี่นา

Wednesday, April 25, 2007

Nepal Trip | Day II

Apr 12.2007

แถวบ้านชิ้นตอนรุ่งเช้านี่ นกเยอะจริงๆ ประมาณสักตี 5 ครึ่ง จะได้ยินเสียงนกหลากหลายสายพันธุ์ แข่งกันร้องกันเจี๊ยวจ๊าวรับวันใหม่ ผสมโรงกับเสียงหมาเห่าแถวๆบ้านบ้างประปราย สงสัยยังไม่คุ้นหูเลยทำให้ต้องตื่นเช้าขนาดนี้ อีกสองสาวยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เลยเปลี่ยนบรรยากาศจากเตียงนอน ขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าที่ดาดฟ้าก่อน ท้องฟ้าเมือง Kathmandu โดยรอบยังไม่ตื่นเลย

มื้อเช้า...ที่โต๊ะอาหาร ทุกคนพร้อมหน้า ชา กาแฟ ครัวซอง ขนมปัง น้ำผลไม้ พร้อมเสริฟ ยังกับอยู่โรงแรมหรู เด็กๆกินอาหารเช้ากันเอง น่ารักเชียว วันนี้แผนของเราว่าจะไป Bhaktapur ประเดิมเป็นรายการแรกกันก่อน แต่กว่าจะออกจากบ้านได้ มีด่านสกัดว่าจะต้องเลือกสีผ้า Pashmina ให้เรียบร้อยก่อน เป็นการสั่งซื้อล่วงหน้า ให้ชิ้นเอาไปสั่งซื้อให้อีกทีจากแหล่งผลิตคุณภาพ ผ้า Pashmina นี่ซื้อสำหรับเป็นของฝากคนสำคัญที่บ้าน chart ตัวอย่างสีผ้าที่ชิ้นเอามาให้เลือก พวกเราดูแล้วดูอีก เลือกแล้วเลือกอีก เพราะสีสวยพอๆกันไปหมด ตัดสินใจยากชะมัดเลยใช้เวลากันเยอะ

10 โมงเช้า ต้องออกเดินทางกันแล้ว ถ้ามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับสีผ้าเดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี มีนา...แม่บ้านชาวเนปาลช่วยเรียก Taxi และต่อรองให้เสร็จสรรพ ล้อหมุนออกเดินทางมุ่งหน้าไปเมือง Bhaktapur เมืองเก่าที่มีพระราชวังโบราณ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. ระหว่างทางก็นั่งชมชีวิตชาวเมืองกันไป ดูเหมือนเมืองเพิ่งจะตื่นจากการหลับใหล เด็กนักเรียนเดินกันกวักไกว่ ตึกรามบ้านช่องแบบเก่าๆ ทรงโบราณ ประตูหน้าต่างเป็นไม้ ฉลุลวดลายละเอียดสวยงาม กลอนประตูเป็นทองเหลือง สวยๆทั้งน้าน ทั้งชุดส่าหรีที่ใส่ก็หลากสีสัน น่าแวะถ่ายรูปไปหมด พอออกนอกเมืองมา บ้านเริ่มปลูกห่างกัน คนเบาบางกว่าในเมือง เริ่มมีต้นไม้เยอะ นาข้าว ชีวิตคนแถวนี้ดูช้าลง

ถึงเมือง Bhaktapur พอ Taxi จอดปั๊บก็มีชายหนุ่มมาเสนอตัวเป็น guide ทันที เขาชื่อ R.N พูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว เมื่อต่อราคากัันเป็นที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย พวกเราก็ไปซื้อตั๋วเข้าชมเป็นลำดับต่อไป พระราชวัง Bhaktapur มีบริเวณกว้างขวาง ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมอาคารหลายหลัง เช่น พระราชวังที่มี 55 หน้าต่าง R.N บอกว่าที่มี 55 หน้าต่าง เพราะกษัตริย์มีสนม 55 คน อาคารที่โดดเด่นโดยรอบ จะมีหลังคารูปทรงเหมือนภูเขาซ้อนกันเป็นชั้นๆสูง 3 ชั้นและ 5 ชั้น มีอาคารหลังหนึ่ง ส่วนคันทวยแกะสลักไม้เป็น Kamasutra ดูไปก็อมยิ้มกันไป ไปกันต่อในส่วนของวัดฮินดู ในบริเวณทำพิธีเป็นเขตหวงห้ามเฉพาะ พวกเราจะเข้าไปด้านในไม่ได้ แอบดูจากข้างนอกเข้าไป ข้างในดูเหมือนจะอลังการอยู่นะ R.N แต้มทิก้าสีแดงให้ตรงหน้าผากที่หน้าประตูวัดฮืนดู พวกเราเลยกลายร่างเป็นสาวเนปาลกันไปตามๆกัน อิอิ
ใกล้ๆกันมีบ่อน้ำที่เป็นที่อาบน้ำของกษัตริย์ ส่วนของท่อน้ำแกะทองเหลืองเป็นรูปสัตว์หลายชนิด เป็นงงอยู่ว่ามาอยู่รวมกันได้ไง ไม่รู้ว่ามาจากความเชื่อหรือตำนานของเขาหรือเปล่า ในส่วนของอาคารที่มีหลังคาซ้อนกัน 5 ชั้น ด้านหน้ามีบันได สามารถปีนขึ้นไปชมวิวโดยรอบแบบมุมสูง R.N ยังพาเราเดินผ่านตรอกซอยเล็กๆ ที่มีร้านขายของ บ้านคน และไปยังลาน เครื่องปั้นดินเผา แถวนั้นมีเด็กตัวเล็กๆ ทาขอบตาสีดำ ยืนน้ำมูกยืดให้ถ่ายรูปด้วย ไปต่อยังร้านขายทังก้า เป็นรูปเขียนสีบนกระดาษ ลวดลายละเอียดยิบ เขียนสีเสร็จก็จะเอาไปเย็บติดกับผ้าไว้แขวน ราคาค่อนข้างแพงทีเดียว เลยถอยดีกว่า ต้องรีบด้วยเพราะต้องทำเวลาให้ทันกลับไป GTZ office ตอนบ่าย 2 พวกเรามีนัดกับคุณโรชาน นี่ก็เลยเวลาเที่ยงมาสักพักแล้ว เลยต้องรีบหาข้าวกลางวันใส่ท้อง กินกันแถวนั้นให้เสร็จเรื่องไป มาโบกมือ bye bye R.N ตอนบ่ายโมงกว่า มุ่งหน้าเข้าเมือง

Late ไปเล็กน้อยเมื่อเจอคุณโรชาน พวกเราเริ่มออกเดินไปตามถนนฝุ่นเยอะด้านข้าง GTZ office คุณโรชานกำลังจะพาพวกเราไปชมเมือง Patan เมืองเก่าที่อยู่ติดกับ kathmandu ที่มีแค่แม่น้ำบักมาตีกั้น จากถนนรถผ่านได้มาเดินเข้าซอยเล็กๆ สำหรับคนผ่านเท่านั้น เราเดินผ่านวัดหลายวัด ทั้งวัดพุทธและวัดฮินดู เล็กบ้างใหญ่บ้าง ผ่านชุมชนหลายๆที่ แต่ละชุมชนเขาจะที่มีพื้นที่สาธารณะใช้ร่วมกันตรงกลาง เช่น เป็นสวน สนามเด็กเล่น บ่อน้ำ มีเจดีย์ มีวัด ทุกบ้านจะรู้จักกันหมด ได้เข้าชมงานหัตถกรรมพื้นบ้านที่จัดขึ้นแถวนั้น เดินต่อเรื่อยๆจนมาถึงวัดทอง เป็นวัดพุทธ ซึ่งมีเครื่องประดับตกแต่งส่วนใหญ่ทำมาจากทองเหลือง จึงเป็นสีทองไปทั้งวัด ขนาดบริเวณโดยรอบไม่ใหญ่มากนัก มีเสียงพระสวดจากด้านใน น่าจะเป็นทำนองแบบธิเบตนะ...เดาเอา และไปชม Patan Square highlight ของเมืองนี้ หน้าตาของอาคารสถาปัตยกรรม การวางผังจะคล้ายๆกับพระราชวัง Bhaktapur ผู้คนเยอะเยอะมากมายที่ square แห่งนี้ เราไม่มีเวลาพอที่จะเข้าไปชมด้านใน จึงถ่ายรูปอยู่ด้านนอก สักพักคุณโรชานชวนไปนั่งจิบน้ำชาที่ร้านอาหารแถวนั้น ซึ่งมีวิวดีสามารถมองลงมาเห็น Patan Square ได้ในอีกมุมมองหนึ่ง จริงๆแล้วเหตุที่ต้องมานั่งชมวิวที่ร้านนี้ มาจาก ตอนที่พวกเรากำลังถ่ายรูปกันอย่างเมามัน มีเจ้าหน้าที่ี่มาคุยกับคุณโรชานและขอให้พาพวกเราออกไป เนื่องจากพวกเราไม่ได้ ซื้อตั๋วเข้าชม ซึ่งคุณโรชานเขาเห็นว่าไม่คุ้มกับราคาค่าตั๋วหลายร้อยรูปี ถ้าเรามีเวลาตรงบริเวณนี้แค่แป๊บเดียว ก็เลยเป็นเหตุให้ต้องมาจิบน้ำชาชม Patan Square ในมุมนี้แทน

แยกกับคุณโรชานตอน 5 โมงเย็น เพราะเรามีนัดกับลุงเปรมที่ Diana Travel เพื่อไปรับตั๋วเครื่องบินขากลับจาก Pokhara ใช้บริการ Taxi ไป Thamel เหมือนเดิม ตอนนี้เริ่มคุ้นเคยกับถนนหนทางมากขึ้น เริ่มจับทิศทางถูก รับตั๋วเรียบร้อย มีเวลาเดินเล่นเตร็ดเตร่แถวนั้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะไปเจอชิ้นที่ร้านอาหาร Bhojan Griha ตอน 1 ทุ่ม

ใช้บริการ taxi เหมือนเดิม แต่ออกสำเนียงภาษาไม่ถูกต้อง คนขับอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก เลยเหนื่อยต้องลงไปถามทางหลายหนกว่าจะถึงร้าน เจอชิ้นและ Armin รออยู่แล้ว ร้านนี้เป็นร้านอาหารใหญ่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วไป และต้องจองที่มาล่วงหน้า ซึ่งร้านนี้มีทีเด็ดตรงมีการแสดง Nepali dance และมีนักดนตรีที่เป็น entertainer ชั้นยอด ชิ้นเรียกอีตาคนนี้ว่า 'หมีพู' บรรยากาศร้านตกแต่งแบบเนปาล นั่งกับพื้น 4 สาวได้โต๊ะนั่ง Ring size ติดกับนักดนตรี ส่วน Armin ไปร่วมวงกับโต๊ะ GTZ การแสดงทะยอยมาเป็นชุดๆ พร้อมกับเสริฟอาหารเนปาลทีละอย่าง คุณหมีพูปล่อยมุขให้ฮาได้เรื่อยๆ แถมมีส่งสายตาแอบปิ๊งสาวบิ๋มโต๊ะเราซะด้วย ขนาดมาจับเข่าคุยขอเบอร์กันเลยเชียว โชว์สุดท้ายมีการโค้งให้แขกออกไปร่วม Dance โต๊ะเราส่งสาวบิ๋มออกไป เต้นๆ กระโดดๆ หมุนไปหมุนมาอยู่จนจบเพลง เล่นเอาป้าบิ๋มของเราเหงื่อตก จบการแสดงถึงเวลาร่ำลา หมีพูมีหน้าเศร้าๆ ยืนโบกมือไหวๆให้สาวบิ๋มของเราตรงหน้าต่างชั้นบน โถ! ไปซะแล้ว ยังไม่ได้เบอร์สาวเลย!!! 55555

Tuesday, April 24, 2007

Namaste! Nepal | Day 1

Apr 6.2007
ก่อนออกเดินทางไม่กี่วัน สาวเหมียวโทรมาว่าอยากไปด้วย อุ๊ยตาย! อะไรกันจ๊ะเหมียว มาเปลี่ยนใจอยากไปกระทันหันแบบนี้ แล้วจะมีตั๋วหลงเหลืออีกหรือนี่? เอ๊า! งั้นเอาเบอร์ agency ขายตั๋วที่ข้าวสาร ไปลอง check ตั๋วดูนะ ว่าแล้วเธอก็หายไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และอีกไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีเสียงตามสายบอกกลับมาว่า "ได้ตั๋วแล้วฟู่ ได้บิน flight เดียวกันทั้งขาไปและกลับเลยด้วย!" Ok! แจ๋วเลยเหมียว งั้นวันจันทร์รีบไปทำ visa แล้ววันพุธเจอกันสุวรรณภูมินะ

Apr 11.2007
และแล้ว trip นี้ก็มีนักเดินทาง 3 คนเหิรฟ้าไปเนปาลด้วยกัน โดยสายการบินไทย "รักคุณเท่าฟ้า" เครื่องออก 10 โมงกว่าๆ ไปถึงนู่นก็บ่ายๆ เวลาที่เนปาลจะช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 1 ชม. 15 นาที ทัศนวิสัยรอบนอกไม่เป็นใจให้เห็นวิวหิมาลัยเอาซะเลย เมฆเยอะ ฟ้าเทามัวซัว เครื่องต้องแหวกม่านหมอกลงมา พอล้อแตะพื้นปั๊บ นักบินต้องกระแทกเบรกสุดตัว หักเลี้ยวโค้งสุดท้าย taxi เข้าสนามบินตรีภูวัณ ที่นี่ไม่มีงวงมารับ ต้องเดินเข้าสนามบินแบบ self service อากาศแรกสัมผัสที่เนปาล อืม! เย็นใช้ได้ทีเดียว ผ่านประทับตราขาเข้าแบบสบายๆ แวะเอาแผนที่เมือง Kathmandu ซะหน่อยก่อนออกไปเจอกองทัพ taxi ที่มาดักรอ เจอชิ้นโบกมือไหวไหวอยู่ รีบเดินตามไปสัมผัสตัวเป็นๆ ทักทายและแนะนำเพื่อนใหม่ให้ชิ้นรู้จัก ล้อหมุนออกจากสนามบิน ปากก็คุย ตาก็มองบ้านเรือน ถนนหนทาง รถราผู้คน วัวควายบนถนน ทุกอย่างมันช่างดูแปลกใหม่ เหมือนกับเราอยู่กันคนละโลก ตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นกับภาพชีวิตตรงหน้า อากาศในรถเริ่มร้อนระอุ แต่ความแปลกใหม่ในชีวิตมันมีมากกว่าที่จะสนใจกับอากาศร้อน การจราจรที่นี่สับสนวุ่นวายไม่ใช่เล่น รถติดแต่ก็ไหลไปได้เรื่อยๆ เสียงแตรจากรถคันอื่นรอบๆก็แข่งกันขับกล่อมไปตลอดทาง เมื่อข้ามสะพานเข้าเขต Patan ไม่นานนักเราก็มาถึงบ้านชิ้น บ้านใหญ่สไตล์ยุโรป มีสนามหญ้า โรงรถ มี step เยอะ ห้องหับเป็นสัดส่วน น่าอยู่มั๊กๆ พอเก็บสัมภาระเข้าที่ ก็เจอะเจอเข้ากับ 2 หนุ่มน้อย Moritz & Fabian ยังไม่คุ้นกับสาวแปลกหน้า แต่มีท่าทีว่าอยากรู้จัก ต้องอยากได้เพื่อนเล่นหน้าใหม่แน่ๆเลย ชิ้นพาทัวร์บ้าน เข้าห้องนู้นออกห้องนี้ และขึ้นไปดาดฟ้าชมวิวมุมสูง มี 2 หนุ่มน้อยออกมาโชว์ตัวตรงสนามหญ้า และมี Dance โชว์ต้อนรับสาวๆ พวกเราเลยได้ถ่ายรูปดาราตัวน้อยกันสนุก

ล้อหมุนอีกครั้ง ชิ้นขับรถพาไป GTZ office ซึ่งเป็นที่ทำงานของ Armin อยู่หน้าปากซอย ไม่ไกลจากบ้านที่พัก โหมโรงด้วยการปีนบันไดขึ้นไปชั้น 4 เจอ Armin กำลังทำงานยุ่งๆอยู่ และแนะนำคุณโรชาน พนักงาน GTZ ที่จะมาช่วยเป็น Guide จำเป็น พาเราทั้งหลายเดินเที่ยวเมือง Patan ในวันพรุ่งนี้ ก่อนที่พวกเราจะไปลุยกันเองต่อที่ย่าน Thamel ชิ้นเอา sim โทรศัพท์ของเนปาลมาให้ใช้ชั่วคราว ไว้ติดต่อกันยามฉุกเฉิน

taxi เนปาลคันเล็กกระจิ๊ดเดียว ดีนะที่ทีมเราตัวเล็กๆกันทั้งนั้น เรียกให้ไปส่งที่ Kathmandu Guest House ที่ถนน Thamel จุดเริ่มต้นที่ taxi ทุกคันรู้จัก ตามคำแนะนำจาก guidebook ถึงที่สายตาก็สาดส่องมองหา Diana Travel ก่อนเลย เข้าไปสอบถามราคาตั๋วไป Pokhara โชว์รูปหน้าร้านจาก guidebook คุณวุฒิและคุณเคท เพื่อจะได้เป็น Ref ในการต่อรอง ดูเขาจะตื่นเต้นกันใหญ่ที่มีรูปร้านเขาลงหนังสือด้วย ถึงขนาดเอ่ยปากขอหนังสือกันเลย แต่เรายังต้องใช้งานอยู่ เอาไว้ใช้เสร็จก่อนนะลุงเปรม ได้ตั๋ว Tourist bus ขาไป 250 Rps/คน ตั๋วเครื่องขากลับ 56 Rps/คน-Yeti Airline ลุงเปรมบอกว่า จุ๊จุ๊!! ห้ามเอาราคานี้ไปบอกใครนะ....Ok! ค่ะลุง พรุ่งนี้เจอกันอีกที ตอนมารับตั๋วเครื่อง ขณะเราคุยเรื่องตั๋ว ก็แบ่งทีมเหมียวกับบิ๋มไปแลกเงิน ได้ราคา Rate ดีทีเดียว เสร็จธุระก็เตร็ดเตร่กันแถวนั้น มีร้านรวงให้ดู ให้ซื้อเยอะแยะมากมาย เป็นดงนักท่องเที่ยวแบกเป้เหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา แต่ใหญ่โตกว่าหลายเท่านัก เดินเดินสักพักเหมือนฝนจะเริ่มลงเม็ด ไฟดับทั้งเมือง ร้านไหนมีเครื่องปั่นไฟก็ค้าขายกันต่อเป็นปกติ เดินสักพักท้องเริ่มหิว มองหาร้านนั่งกันดีกว่า เหมียวเล็งร้านหนึ่งอยู่ชั้นบน ต้องปีนบันไดขึ้นไป เลยผ่านไปก่อนเผื่อเจอตัวเลือกอื่น คราวนี้ไปเดินดุ่มๆแถวถนนอะไรก็ไม่รู้ มืดๆมีแต่ป้ายไฟ อารมณ์เป็นที่เที่ยวกลางคืนของคุณผู้ชาย เลยตัดสินใจถอยกลับไปตั้งหลัก คราวนี้เลยได้ไปนั่งร้านที่เหมียวเล็งไว้นั่นแหล่ะ ดูเมนูแล้วเป็นร้านอาหารเนปาล ท่าทางใช้ได้ เอาแล้วหล่ะอารมณ์หิว สั่งโมโม่ทอด หน้าตาคล้ายๆเกี๊ยวซ่าของบ้านเรา มีไส้ข้างในแล้วแต่จะเลือก มีไส้ผัก ไส้ไก่ หรือไส้น้อง Buff (ควาย) และยังมีแบบนึ่งด้วย โมโม่ทอดเสริฟพร้อมน้ำจิ้ม หน้าตาดี รสชาติ ok สั่งก๋วยเตี๋ยวผัดแบบจีน (chowmien) ไว้กันเหนียวเผื่อจะกินอย่างอื่นไม่ได้ และอาหารชุดแบบอินเดีย-เนปาล มีกับหลายๆอย่างพร้อมข้าว รสชาติแปลก ไม่คุ้นลิ้นแต่กินได้หมด ท้องอิ่ม ไฟมา ถึงเวลาจ่ายเงืน เรียก Taxi กลับบ้าน ร้านค้าแถวนั้นส่วนใหญ่เริ่มปิดกันแล้ว

ที่เนปาลไม่มีเลขที่บ้าน ดังนั้นการเรียก taxi ให้ไปส่ง ต้องรู้ว่าย่านนั้นเรียกว่าอะไร แล้วค่อยบอกทางอีกที ก่อนออกมาจากบ้านชิ้นเลยต้องซักซ้อมทางเข้าบ้าน เขียนโพยกันเหนียวไว้ก่อน คืนนี้ชิ้นและครอบครัวไป Party ที่บ้านเพื่อน กลับดึก พวกเรากลับไปถึงก่อนเลยยังเข้าบ้านด้านในไม่ได้ นั่งหง่าวอยู่ด้านนอก อากาศหนาวประมาณ Savannah หนาวๆ สักพักมีไฟดับ แต่ก็แป๊ปเดียวเพราะใช้เครื่องปั่นไฟ สักพักใหญ่ชิ้นกลับมาถึง เย้! ได้เข้าบ้านแล้ว

ที่ห้องพัก...หนาวฉิบ ไม่คิดว่าอากาศจะเย็นขนาดนี้ สงสัยเพราะฝนตก ต้องอาบน้ำก่อนนอน ชิ้นบอกมีน้ำอุ่นแต่ต้องเปิดนานหน่อย เออ! ค่อยยังชั่ว แบบนี้น่าจะอาบได้ แต่ด้วยความที่พวกเราเซ่อซ่า low tech กันหมด เลยไม่รู้ว่าต้องเปิด switch ด้วย คืนนั้นเลยอาบน้ำแบบเย็นเจี๊ยบซะ หนาวสั่นสะท้านกันไปทีเดียวเชียว 5555!!!!

Monday, April 2, 2007

A Trip to Nepal (Preparing Stage)

เข้าย่างเดือนเมษา เดือนแห่งวันหยุดและการท่องเที่ยวประจำปี กำหนดการณ์ปีนี้ พุ่งเป้าหมายไปที่ เนปาล ประเทศแห่งเทือกเขาหิมาลัยและแหล่งกำเนิดพุทธศาสนา คือจริงๆอยากไปดูหิมาลัยแบบเต็มๆตา Panorama แถมด้วยชีวิตผู้คน ความเป็นอยู่ บ้านเรือน ในหุบเขา Kathmandu และเมือง Pokhara ต้นทาง super hot hit ของการ Trekking และTrip นี้ก็ไปแบบไม่โดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะมี 'สาวบิ๋ม' ตกลง (หลุมพลาง​) ไปด้วย และยังจะไปเจอ 'ชิ้น' และครอบครัวที่อยู่ที่เนปาลอีก ซึ่งต้องไปขอเกาะอาศัย บ้านคุณนายชิ้นนอนฟรีที่ Kathmandu ทริปนี้เลยไม่น่ามีเหงา
ตั้งใจว่าจะไปซัก 8 วัน และวันที่ลงตัวของนักท่องเที่ยวแบกเป้ขาจรทั้ง 2 คน ก็ออกมาเป็น 11-18 เมษา ได้วันแล้วต้องรีบจัดการจองตั๋วทันที เพราะช่วงเมษามหาสงกรานต์นี้ ผู้คนใจตรงกัน ออกเดินทางกันเยอะ ดังนั้นตั๋วเดินทางไปประเทศฮิตๆ จะหายากถึงยากมากที่สุด เที่ยวนี้จองตั๋วจาก CS And S Inter Travel เป็น agency ขายตั๋วอยู่แถวข้าวสาร ซึ่งคุณนายชิ้นให้เบอร์มา ได้ตั๋ว TG ในราคา 2 หมื่นนิดหน่อย ค่อนข้างแพงเชียวแหล่ะ แต่ก็ต้องเอาแล้ว เพราะถ้าอยากได้ถูกกว่านี้ต้องไป Royal Nepal Airline ซึ่งขึ้นชื่อมากๆเรื่องการ delay เป็นกิจวัตร ดังนั้นไปการบินไทยดีกว่า จ่ายแพงขึ้นอีกนิด แต่ชัวร์ว่าถึงที่หมายตามกำหนดแน่ๆ ถึงจะจอง TG แต่ก็ยังไม่พ้นต้องมีลุ้นกันอีกเล็กน้อย เพราะขากลับเราติด Waiting list ลุ้นรออยู่ 2-3 วันก็ได้ confirmation กลับมา รีบออกตั๋วเป็น e-ticket จองที่นั่งเสร็จสรรพในทันใด ตามโพยบอกไว้ว่า ขาไปต้องนั่งติดหน้าต่างด้านขวา เพื่อจะได้เห็นหิมาลัยตอนเครื่องจะลง ส่วนขากลับต้องนั่งด้านซ้าย แต่พอ check ที่นั่ง ปรากฏว่าพวกเรามีบุญได้ที่นั่งเห็นวิวหิมาลัย เฉพาะตอนขาไปเท่านั้น ก็ยังดีวะ ส่วนขากลับถ้าอยากเห็นวิวนัก ก็ให้ชะเง้อคอยาวข้ามแถวที่นั่งฝั่งขวา (แถว JK) ไปยังที่นั่งฝั่งซ้าย (แถว A) เอาแล้วกัน

เสร็จจากเรื่ิองตั๋วก็มาเป็นเรื่อง visa จริงๆก็ไปขอ visa on arrival ได้ แต่ขี้เกียจไปต่อคิวทำ visa ที่สนามบิน ขอเตรียมพร้อม ทำไว้ตั้งแต่ที่บ้านเราก่อนดีกว่า...อุ่นใจดี สถานฑูตเนปาล เป็นสถานฑูตเล็กๆอยู่ตรงซอยสุขุมวิท 71 ตรงข้ามห้างจัสโก้ คือถ้าไม่รู้ข้อมูลพิกัดที่ตั้งมาก่อน อาจจะหาไม่เจอเพราะเล็กจริงๆ วันนั้นไปถึงหน้าสถานฑูตตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง เห็นประตูยังปิดอยู่ ยังคิดอยู่ว่าเค้าปิดวันจันทร์หรือเปล่าหว่า? รออีกสักหน่อยก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็เสี่ยงตายข้ามถนนไปเดินเตร็ดเตร่ที่จัสโก้ แบบอิดโรย ระโหยโรยแรง หน้าตาเป็น zombie มากๆ จากการอดนอนทั้งคืนมาจากห้องตัดต่อ ยังดีได้กาแฟอัดเข้าไปช่วยระงับอาการง่วง แล้วก็นั่งรอกึ่งหลับอยู่ฝั่งจัสโก้สักพัก ใกล้ๆ 9 โมง มีคนมาเปิดประตูสถานฑูต เย้! วันนี้มาไม่เสียเที่ยวโว้ย แถมได้ sign ลงสมุด visitor ประจำวันของสถานฑูตเป็นคนแรกด้วย น่าภูมิใจสุดๆ :-) ตอนเดินเข้าไปใน office เจ้าหน้าที่เพิ่งจะเริ่มทำงานพอดี ขอใบสมัครมากรอกข้อมูลระหว่างรอคุณบิ๋ม สักพักบิ๋มมาถึงด้วยมอเตอร์ไซด์รับจ้าง จากหน้าปากซอย ไม่่น่าเชื่อว่าคุณหนูบิ๋มจะลุยได้ขนาดนี้ นับเป็นสัญญาณที่ดีก่อนเริ่มเดินทางนะเนี่ย พอกรอกข้อมูลเสร็จ ก็ยื่นพร้อม passport + รูปถ่าย 1 รูป + ค่าธรรมเนียม 1,400 บาทหรือจะจ่ายเป็น USD ก็ได้ ถ้าเป็น USD ก็จ่าย 30 เหรียญ ตอนแรกพวกเราจะจ่ายเป็น USD เพราะคำนวณแล้วว่าถูกกว่ากันเห็นๆ จากอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์ แต่พอดีว่ามีแบ็งค์ 100 เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าบอกไม่มีทอน เลยจำใจจ่ายเป็นบาทแทน เอาวะจะได้เสร็จๆไป ยื่นเอกสารเสร็จ เจ้าหน้าที่บอกให้นั่งรอรับได้เลย ดีจัง...ไม่ต้องเสียเวลากลับมารับ passport อีกรอบ ง่ายๆ ไม่มีขั้นตอนให้ยุ่งยากวุ่นวาย พูดถึง passport...ดีนะที่บิ๋มเช็คดูก่อนมาทำ visa ไม่กี่วัน เพราะเล่มเก่าหมดอายุพอดี เกือบอดไป ทริปนี้บิ๋มเลยได้ไปถอย e-passport เล่มใหม่เอี่ยมอ่อง เอามาประเดิมเปิดฉากด้วย nepal visa เป็นประเทศแรกของเล่ม

เมื่อได้ visa มาให้อุ่นใจเรียบร้อย บิ่มอาสาไปแลกเงินให้ที่หลังการบินไทย ส่วนเราขอตรงดิ่งกลับบ้านนอนเอาแรงก่อน หลังจากนี้ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือกับการศึกษาหาข้อมูลท่องเที่ยว ทั้งจากหนังสือและใน web พอได้ข้อมูลมาสักพัก แผนการเดินทางคร่าวๆ ก็ออกมาตามระยะเวลาที่จะไป 8 วัน 7 คืน โดยตั้งใจว่าจะอยู่ Kathmandu 2 วัน จากนั้นบินไป Pokhara เพื่อไป Trekking 4 วัน แล้วบินกลับมาอยู่ Kathmandu อีก 2 วันที่เหลือ ซึ่งดูแล้วน่าจะโอนะ กะเอาไว้ว่าจะไปลงรายละเอียดอีกที ตอนไปถึง nepal แล้วดีกว่า เพราะยังไงก็มีคุณนายชิ้นเป็นเจ้าถิ่นอยู่ ถามจากเจ้าถิ่นโดยตรง น่าจะได้ข้อมูลที่ดีกว่านะ ดีไม่ดีใช้ให้พาเที่ยวด้วยซะเลย อิอิ!!

Note:
Ticket Agency: CS AND S INTER TRAVEL
Address: 81 New Joe Guest House, Trok Mayom
Tel: 02.282.6638 | Contact: K. Nok

Wednesday, March 28, 2007

สว่างคาตากับงานตัดต่อ

Sunday March 25, 2007
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีงานที่ต้องไปทำแถว Town in Town ซึ่งเป็นแหล่งห้องตัดต่อพวกงานโฆษณา ละคร Presentation ทั้งหลายแหล่ ได้ยินชื่อมานานแต่ไม่เคยได้สัมผัสสักที งานนี้นับเป็นประสบการณ์ครั้งแรก ที่ได้ไปเยี่ยมเยือนละแวกนั้น และก็เป็นครั้งแรกในชีวิตอีกเช่นกัน ของการไปตัดต่อหนัง...งานของเจ้านายหญ่ายสั่งมา แต่เรามาช่วยพี่ราวีอีกที ในฐานะคนติดต่อประสานงาน

ห้องตัดที่ไปชื่อ MatchFame โดยได้น้องบอย ตากล้องที่เราจ้างให้ไปถ่ายงาน เป็นคนติดต่อจัดแจงเรื่องให้ และพวกเราก็ได้สิทธิพิเศษ คือได้คิวเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งโดยปกติเขาจะปิดทำการ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายนะเนี่ย ที่ต้องมาทำงานวันหยุด เอาเหอะนานๆครั้ง งานจะได้เสร็จไวไว เจ้านายยิ่งเร่งตามงานอยู่
บรรยากาศของห้องตัดต่อ จะเป็นห้องทึบแสง ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน มีจอคอมและทีวีให้ดูตอนทำงาน น้องที่มาตัดต่อให้ชื่อ หน่อง กด short cut ตัดฉับ ฉับ ฉับ ไวยังกะลิง ข้างขวามี M150 อยู่ 1 ขวด ข้างซ้ายมีที่เขี่ยบุหรี่ ช่างมีองค์ประกอบ Prop ที่ได้อารมณ์จริงๆ...ไอ้น้องเอ้ย! น้องแกทำงานไปก็โด๊ปยาชูกำลังไป คาดว่าคงรู้สถาณการณ์ว่า งานนี้คงลากยาวอีกไกล หรือไม่ก็คืนก่อน (งาน/ดื่ม) หนักไปหน่อย เลยต้องอาศัยตัวช่วย ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายโมง งานจริงๆเพิ่งเริ่ม start ปรากฏว่า 6 โมงเย็น เพิ่งจะเสร็จตอนแรก ยังเหลืออีกตั้ง 4 ตอน...คิดในใจ...งานนี้มียาวถึงเช้าแน่นอน และก็เป็นจริงดังคาด ออกจากห้องตัดประมาณตี 5 แม่ค้ามาตั้งร้านขายของตรงที่จอดรถกันแล้ว คิดๆดู...นี่เราไม่ได่ทำงานสว่างคาตา แบบสมัยทำ project ส่งอาจารย์มาหลายปีดีดัก ครั้งนี้เป็นการอดนอนทั้งคืนในรอบ 10 กว่าปี สภาพก็ยังพอไหวอยู่ แต่ถ้าต้องทำงานลากยาวแบบนี้บ่อยๆ เห็นทีว่าจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน นึกถึงไอ้น้องหน่องที่ทำตัดต่อให้ นี่ต้องใจรักอย่างเดียวเลย เพราะชีวิตแม่ง! เจอแต่จอสี่เหลี่ยมตรงหน้าทั้งวันทั้งคืน ตัวหนังสือตรง timeline window แม่งก็เล็กสาดดด ไม่รู้มันมองเห็นได้ไง เวลางานก็ผิดกัยมนุษย์คนอื่นเค้า พอๆกับพวกคนทำงานในวงการโฆษณา วงการบันเทิง ใครมีแฟนอยู่วงการนี้ ต้องทำใจและเข้าใจจริงๆ ไม่งั้นรอดยาก ระหว่างรอ write cd คุยไปคุยมา น้องหน่องเพิ่งจะ 23 เอง และแถมเพิ่งมาทำงานตัดต่อได้ไม่นาน แต่ตัวมันโต ไม่ค่อยพูดจาและแอบหน้าแก่ ตอนเจอทีแรกเลยคิดว่าเป็นรุ่นเก๋าประจำ office พอเริ่มคุย เท่านั้นแหล่ะ น้ำไหลไฟดับ...เออนะ ความคิดแม่งเด็กสมวัยจริงๆ

Thursday Mar 29, 2007
วันพฤหัสมีนัดเข้าไปลงเสียงอีกรอบ คราวนี้มีีโจไปด้วย เพราะเป็นคนเขียนบทและให้เสียงภาษาอังกฤษ เริ่มงานกันตอนก่อนเที่ยง ก็ไม่พ้นอีหลอบเดิม กว่าจะเสร็จทั้งหมดปาเข้าไปเที่ยงคืน และแถมต้องรอ write dvd อีก 2 ชั่วโมง โอ๊ย!! คราวนี้เก็บอาการง่วงไม่อยู่ ออกลายมาตอนตี 1 หลับตาฟังน้องหน่องโม้ไปเรื่อย จนตี 2 งานเสร็จ ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับบ้านนอน บ้านใครบ้านมัน เรามึนๆง่วงๆขี้เกียจย้อนกลับไปเอารถที่ office เลยนั่ง taxi กลับบ้านโลด Taxi ก็ซิ่งแหลก แถมใช้เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย อาการง่วงเลยหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทีนี้ต้องมานั่งลุ้นแทนว่า ตูจะรอดกลับถึงบ้านไหมเนี่ย เฮ้ออออ!

Wednesday, March 21, 2007

Story On A Newspaper!




หลังจากเกิดเรื่องไม่กี่วัน พี่หลอก็เขียนเล่าเรื่องความโชคร้ายของพวกเรา ไปที่ Column ของลุงแจ่ม ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก แทบไม่น่าเชื่อว่า อีกไม่กี่วันต่อมา เรื่องของพี่หลอก็ได้ลงจริงๆ ในฉบับวันพุธที่ 21 มีนาคม 2550 ใน Column "เปิดซองส่องไทย" (เลยสงสัยว่า...เป็นเพราะแอบลงท้ายชื่อว่า เป็นแฟนประจำตััวจริง ของลุงแจ่มหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ : ) ซึ่งหวังว่าการลงเรื่องทางสื่อหนังสือพิมพ์ จะเป็นช่องทางหนึ่ง ที่จะช่วยกระจายข่าวให้คนอื่นๆในสังคม ที่จะไปจอดรถในบริเวณสวนรถไฟ ได้ระมัดระวังกันมากขึ้น และที่สำคัญ ก็น่าจะเป็นกระบอกเสียงดังๆไปถึง คุณตำรวจสน.บางซื่อด้วย กับการตรวจตราดูแลพื้นที่บริเวณนั้นให้ดีกว่านี้ เพราะตอนที่ไปตั้งกระทู้ไว้ใน Pantip ก็มีหลายคนมาตอบกลับมาว่า แถวนั้นโดนกันประจำ เพราะเล่นทำกันเป็นทีม และเป็นกิจวัตรหลักของพวกโจร ที่คงไม่ทำอะไรอย่างอื่น นอกจากรอเหยื่อมา รายไหนไม่รู้หรือไม่ทันระวังตัว เป็นได้เสร็จโจร!

นี่เป็นตัวอย่างของคนที่เข้ามาเขียนตอบในกระทู้

1. จากคุณ : napatn - [ 14 มี.ค. 50 15:53:50 ]
โจรเหล่านี้ จะมีสายเดินไป-เดินมาอยู่แถวนั้น
คอยดูว่าใครไปออกกำลังกาย หรือมาพักผ่อนเฉยๆ
ถ้ามาพักผ่อนเฉยๆ ก็มักจะเอาของมีค่าติดตัวไปด้วย
เค้าจะไม่ทำอะไร แต่ถ้าใคร ใส่ชุดออกกำลังกาย ไป เค้าจะตามไปดูห่างๆ
และเห็นว่า ไม่กลับมาที่รถในเวลานี้แน่ๆ เค้าจะงัดเลย
จะมีอุปกรณ์ทำลายกลอนประตู คล้ายกับไขควงไฟฟ้า
แต่แรงเยอะ เสียบแล้ว บิดทีเดียวกุญแจพังเลย
โดยโจรเหล่านี้ วางกำลังโจรเป็นจุดๆ เพื่อดูว่าเหยื่อกลับมาหรือยัง เพื่อเป็นต้นทาง

ที่นี่และที่จตุจักร โดนมาเป็นหลายร้อยรายแล้ว โดนกันมาเป็นปีๆ
แต่ก็จับใครไม่ได้ เพราะว่าโจรเค้ามีต้นทางส่งซิกกันตลอด

2. จากคุณ : Passerby - [ 16 มี.ค. 50 18:02:01 ]
ที่นี่โดนกันประจำครับ ฟัง สวพ.91 บ่อยๆ

3. จากคุณ : โดนด้วย (Jette) - [ 16 มี.ค. 50 18:32:14 ]
เข้ามาคอนเฟิร์มครับ เพราะโดนเหมือนกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง มันคงรู้ว่าคนที่มาจอดรถจะต้องไปออกกำลังกาย ถ้าวิ่งหรือว่ายน้ำคงมีเวลาให้มันลงมือได้นานอยู่ และมันคงรู้ว่าคนที่มาออกกำลังกาย จะไม่หิ้วทรัพย์สินติดตัวไปออกกำลังกายด้วยแน่

มันเจาะตรงรูกุญแจด้านประตูคนขับ แต่สัญญานกันขโมยมันร้องเสียก่อน ตอนแรกไม่รู้ นึกว่าปิดประตูไม่สนิท ใช้รีโมทเปิด แล้วขับกลับ ไปถึงบ้านจะล็อครถถึงรู้ว่าโดนงัด เอารถไปทำมาแล้ว ฟาดเคราะห์ไปตั้งหลายพัน (ค่าเปลี่ยนกุญแจ+มือเปิดประตู)

เดี๋ยวกลับถึงบ้านจะถ่ายรูปมาให้ดูครับ โชคดีจริงๆ ที่ไม่มีอะไรหาย หรือว่าเป็นผลบุญ ที่ตอนเช้าวันนั้นไปทำบุญวันพระที่วัดมาพอดี บุญคุ้มครองครับ

สิ่งที่ย้อนกลับไปแล้วนึกขึ้นได้คือ จะมีรถกระบะสีเขียวเก่าๆมาจอดอยู่หลังรถเรา จากการสังเกตุ จะมีชายอายุประมาณ 40 นั่งอยู่ในรถ ซึ่งในบริเวณนั้นส่วนใหญ่คนที่มาจอด จะเป็นคนที่มาออกกำลังกาย จะไม่มาจอดแล้วนั่งอยู่ในรถเฉยๆ และตอนที่รถมันร้อง เห็นเค้าเดินไปเดินมา เราน่าจะเอะใจ รอดูซิว่ามันจะทำอะไรกับรถเราบ้าง ไม่น่ารีบร้อนปิดสัญญาณกันขโมย และขับกลับไปเลย

4. จากคุณ : เฟรมเมอร์ - [ 17 มี.ค. 50 10:45:18 ]
ผมโดนทุบกระจกรถเมื่อร่วมสองปีที่แล้ว บริเวณนี้เหมือนกัน โดนเช้าวันอาทิตย์เวลาแปดโมงกว่า ผ่านไปสองปีทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ไม่รู้ สน.บางซื่อทำอะไรอยู่ จริงๆ แค่เอาสายสืบไปดักซุ่ม ก็น่าจะจับได้แล้วเพราะตรงจุดนี้มันทุบรถ-งัดรถกันบ่อยมาก วันที่ผมโดนทุบรถยังเห็นเศษกระจกรถ ที่โดนทุบวางพิงกำแพงรั้วอยู่ สองชิ้นในบริเวณนั้น (เพราะผมเดินหากระเป๋าของผมตามถังขยะแถวนั้นเลยเห็นเข้า) ถ้าเปิดกระทู้ลงชื่อคนที่โดนทุบรถแถวนั้น คงมีคนมาลงชื่อกันเยอะแน่

5. จากคุณ : ซีมาสเตอร์ - [ 17 มี.ค. 50 08:25:46 ]
... ผมก็เคยโดน ...
... ตรงที่จอดรถ หน้าสวนรถไฟ ...
... มันไข เข้ามาทางประตู คนขับ ...
... เอากระเป๋าตังค์ กะ มือถือไป ...
... ฟาดเคราะห์ไปคราวนั้น 7,000 + มือถือ

6. จากคุณ : oakmans (oaklan) - [ 14 มี.ค. 50 18:57:13 ]
ควรใส่ใจ รถนะครับ ไม่ใช่ตู้เชฟ เวลาลงจากรถ ย้ายของมาใส่ท้ายรถ โปรดจำไว้ตาของมิจฉาชีพเฝ้าดูอยู่ แถวนั้โดนกันวันละ 5-10 คัน.......